top of page

เมื่อทุ่งสนามควายต้องกลายเป็นเมือง : ลองมองการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และผู้คนก่อนการกำเนิดตลาดนางเลิ้งกัน


หากนึกถึงตลาดนางเลิ้ง ส่วนใหญ่มักนึกถึงตลาดการค้าที่เต็มไปด้วยแหล่งบันเทิงเริงรมณ์ของผู้คนในอดีต ทั้งโรงบ่อน โรงหนัง ย่านโสเภณี ย่านละครชาตรี พื้นที่แห่งความเชื่อความศรัทธา เรื่องราวที่มีมิติของความสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ย่านละครชาตรี แม้เเต่เรื่องราวในพื้นที่ที่ของมิตร ชัยบัญชาดาราภาพยนตร์ไทยในยุค 2500 


ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวการรับรู้จนกลายมาเป็น “ย่านนางเลิ้ง” ในทุกวันนี้ แต่แท้จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้ยังมีเรื่องราวมากมายให้ชวนค้นหา ทีมงานศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab) จะชวนย้อนรอยเพื่อมอง การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่และผู้คนที่สัมพันธ์กับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมก่อนกำเนิดตลาดนางเลิ้งอย่างเป็นทางการ เมื่อราว 120 ปีก่อน เพื่อมองว่าพื้นที่แห่งนี้มีกายภาพที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานและการทำกินของผู้คนอย่างไร คนกลุ่มใดคือผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นย่านแห่งนี้ และหากเทียบเคียงยุคสมัยในอดีตกับปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่และผู้คนไปหรือไม่อย่างไร โดยจะใช้แผนที่เป็นตัวเล่าเรื่องหลักผ่านสถานที่ต่าง ๆ ในอดีต ว่ายังคงอยู่ จางหายหรือเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยอย่างไรในปัจจุบัน


ย้อนกลับไปในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เดิมย่านนางเลิ้งเป็นพื้นที่ชานพระนคร มีลักษณะเป็นท้องทุ่ง สลับกับพื้นที่สวน ทำนาและทุ่งเลี้ยงช้างหลวง ต่อเนื่องไปยังทุ่งส้มป่อยและทุ่งบางกะปิมีหลักฐานที่กล่าวถึงชื่อภูมินามในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี(ขำ บุนนาค) เป็นอย่างน้อยกล่าวถึง บ้าน “สนามกระบือ” หรือ “สนามควาย” เชื่อว่าศูนย์กลางของสนามดังกล่าวน่าจะอยู่บริเวณแถบวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค) และวัดสิตาราม(วัดคอกหมู) ในปัจจุบัน 



จากพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวน ประจวบกับผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามาอาศัยมากขึ้น ซึ่ง ผลพวงสำคัญมาจากการอพยพและกวาดต้อนของผู้คนในภาวะสงครามและข้าวยากหมากแพง ทำให้ผู้คนจึงย้ายเข้ามาสู่พระนคร และ ย่านนางเลิ้งเป็นจำนวนมาก ทั้งกลุ่มมอญ เขมร ลาว ทวาย มลายูปาตานี จีน ญวน กลุ่มปักษ์ใต้ ฯลฯ ผู้คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีความชำนาญในงานช่างฝีมือ 


อ้างอิงจากแผนที่ : แผนที่กรุงเทพฯ ปี 2439 ของหน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แผนที่กรุงเทพฯ 2439



ขณะเดียวเมื่อมีความหนาแน่นของการย้ายถิ่นฐานเข้ามา จึงเกิดการสร้างวัดประจำชุมชนอย่างวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค) วัดสิตาราม(วัดคอกหมู) วัดปรินายก(วัดบดีนายก, วัดพรหมสุรินทร์) และวัดโสมนัสวิหารขึ้นในพื้นที่ จากผลพวงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อชุมชนเริ่มตั้งถิ่นฐานหนาแน่นเพิ่มขึ้น ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ความเป็นพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวนค่อย ๆ กลายมาเป็นพื้นที่ที่พัฒนาไปสู่เมืองที่เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเมื่อมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมล้อมพระนครขึ้นอีกชั้น ในปี 2394  ต่อมาราชสำนักกรุงเทพฯ เริ่มให้ความสนใจที่จะทำกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองสมัยใหม่โดยรับรูปแบบการจัดการเมืองอย่างดินแดนอาณานิคมที่ปกครองโดยตะวันตกมาใช้ในพื้นที่สยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ต้องการพัฒนาพื้นที่ทางด้านเหนือของพระนครเพื่อสร้างพระราชวังสวนดุสิต



จากการก่อสร้าง พระราชวังดุสิต ทำให้เกิดการสร้างสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รอบด้าน ทั้งการพัฒนาที่ดิน การวางผังเมือง การตัดโครงข่ายถนนเพื่อเชื่อมกับพระราชวังสวนดุสิตสายต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือถนนราชดำเนินและถนนสาขาเชื่อมระหว่างพระบรมมหาราชวังต่อกับพระนครไปยังพื้นที่แห่งใหม่ทางตอนเหนือและตะวันออก ขณะเดียวกันทำให้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ขนาดใหญ่ ทั้งการซื้อที่เพื่ออยู่อาศัย เวนคืนที่ดิน และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผ่านกรมพระคลังข้างที่ 


อ้างอิงจากแผนที่ : แผนที่บริเวณกรุงเทพฯ สยาม ร.ศ. 129 (2458)  และ แผนที่กรุงเทพฯ นายวอนนายสอน พ.ศ.2439 จากหน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


ไม่เพียงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพเท่านั้น เเต่ได้ส่งผลถึงวิถีชีวิตต่อกลุ่มคนที่เคยอาศัยมาเเต่เดิมที่ต้องปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยไปตั้งหลักแหล่งที่อื่น เช่น กลุ่มแรงงานไพร่หลวงอย่างลาวตึกดิน มลายูปาตานี พนักงานกรมวัง ฯลฯ โดยเฉพาะการรองรับการพัฒนาที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยทั้งบ้าน วัง แหล่งการค้าและพัฒนาโครงข่ายถนนหนทาง เพื่อรองรับที่อยู่และแหล่งการค้าของรัฐโดยพระคลังข้างที่ กลุ่มเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และกลุ่มคนจีนเข้ามาใหม่ ความสำคัญของพื้นที่จึงเปลี่ยนจากพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวนและกลุ่มชุมชนเล็ก ๆ มาสู่พื้นที่ที่รองรับการการพัฒนาย่าน 



เพื่อรองรับที่อยู่และแหล่งการค้าของรัฐโดยพระคลังข้างที่ กลุ่มเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และกลุ่มคนจีนเข้ามาใหม่ ความสำคัญของพื้นที่จึงเปลี่ยนจากพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวนและกลุ่มชุมชนเล็ก ๆ มาสู่พื้นที่ที่รองรับการการพัฒนาย่าน คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเชิงเศรษฐกิจและสัมพันธ์ กับพื้นที่การเปลี่ยนแปลงของศูนย์กลางอำนาจรัฐอย่างพระราชวังสวนดุสิตที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นทั้งความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจ สัญลักษณ์อำนาจการปกครอง และการแสดงออกถึงความศิวิไลซ์ที่ชนชั้นนำสยามในเวลานั้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้กลายมาเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสำคัญ รัฐจึงมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนามาสู่ย่าน การค้าที่มีตลาด โรงบ่อนเบี้ย ห้องแถวแห่งใหม่ทางตะวันออกของพระนคร 


ภายใต้การกำกับควบคุมผ่านกฎหมายอย่างพระราชกำหนดสุขาภิบาล กรุงเทพฯ ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) และกฎหมายที่ส่งผลต่อพื้นที่อย่างการออกประกาศรักษาที่ดินริมคลองผดุงกรุงเกษม ปี 2442 ส่งผลให้รัฐเข้ามาจัดระเบียบบ้านเรือน เส้นทางการคมนาคมทั้งถนนและทางน้ำ เพื่อไม่ให้เกิด “เสียความสง่างามของพระนคร” กล่าวได้ว่ารัฐต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและต้องการแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับอำนาจรัฐที่สามารถกำกับ ควบคุมดูแลพื้นที่ที่กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจการปกครองที่เติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวมาสู่สังคมเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากอาศัยหนาแน่นขึ้น กรณีของย่านนางเลิ้งและใกล้เคียงจึงอยู่ภายใต้พื้นที่การกำกับดูแลที่ประชิดติดกับศูนย์กลางอำนาจ จึงเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้



หากเทียบเคียงกับปัจจุบัน พบว่า ในห้วงเวลา 120 ปี ที่ผ่านมาจากทุ่งสนามควายจนกลายมาเป็นเมืองในทุกวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่และผู้คนไปมากพอสมควร เนื่องจากโครงสร้างการจัดการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้พื้นที่หลายแห่งที่เคยมีอยู่ในอดีต กลายมาเป็นตึกรามบ้านช่อง สถานที่ราชการ รวมถึงถนนหนทางที่ทับซ้อนกับพื้นที่เดิมที่เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ของเมืองอยู่ในหลายจุด มีพื้นที่สำคัญอย่างศาสนสถานที่ยังคงเป็นพื้นที่หลักที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าพื้นที่อื่น ๆ ถึงแม้ว่าวัดบางแห่งเว้าแหว่งจนเหลือพื้นที่ใช้สอยอยู่น้อยนิด บางแห่งพื้นที่วัดทับซ้อนไปกับพื้นที่ของชุมชนในปัจจุบัน ตรอกซอกซอยและถนนต่าง ๆ รวมไปถึงคูคลองบางแห่งก็จางหายไป เหลือเพียงชื่อบ้านนามเมืองที่เป็นป้ายซอย ในขณะที่พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่สวนที่แทรกอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ก็ กลายเป็นย่านตลาด อาคารตึกแถวพานิชย์ ร้านค้าต่าง ๆ สุดท้ายแล้ว ภายหลังพื้นที่ทุ่งสนามควายค่อย ๆ ลดบทบาทลง แต่ก็ยังมีการใช้ชื่อดังกล่าวสืบเนื่องเรื่อยมา


จนกระทั่งการเปิดตลาดนางเลิ้ง ชื่อของ “นางเลิ้ง” จึง แทนที่ชื่อของสนามควาย สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นพัฒนาการจากพื้นที่ทุ่งโล่งกว้าง สลับกับพื้นที่ป่า นา สวน มาสู่ย่านการค้าและพัฒนามาเป็นเมืองจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน


อ้างอิง:

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ

หจช. น.18.1ง/14. เรื่องแบ่งที่เฉลี่ยนกัน ฯ

หจช. น.18.1ง/16. เรื่องพระพิพิธษาลี หลวงอัตถสารศุรกิจ ฯ

หจช. น.18.1ง/2. เรื่องโต๊ะสาดมหาดเล็กขอพระราชทานที่บ้านฯ

หจช. น.18.1ง/26. หนังสือกราบบังคมทูลเรื่องราวและขออนุญาตให้หญิงช่างสดึงปลูกโรงเรือนฯ.

แผนที่

หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แผนที่กรุงเทพฯ 2439.

ร้อยโท เจมส์ โลว์ (James Low). แผนที่พระนคร พ.ศ.2378. นนทบุรี : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2453.

หนังสือ

Edward Van Roy(เขียน); ยุกติ มุกดาวิจิตร(แปล). ก่อร่างเป็นบางกอก

เปเลจจี, เมาริตซิโอ. เจ้าชีวิต เจ้าสรรพสิ่ง : การก่อร่างภาพลักษณ์สมัยใหม่ของสถาบันกษัตริย์

ชาตรี ประกิตนนทการ และ กรรณิการ์ สุธีรัตนาภิรมย์. ฟื้นชีวิตกรุงเทพฯ

ทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (ขำ), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3.

ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. เทศบาล : พื้นที่ เมือง และกาลเวลา

สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?

บทความ

สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. “พัฒนาการย่านนางเลิ้ง”


ค้นคว้า และ เรียบเรียง : นายอิทธิกร ทองแกมแก้ว ภาพออกแบบการสื่อสาร : ชยพล สิทธิกรวรกุล



Comments


bottom of page