เมื่อนิราศถูกแปลงเป็นภาพบรรยากาศในอดีต✨🖼
- Chayapon[04] Sitikornvorakul
- Aug 1
- 2 min read
สำหรับการศึกษาเรื่องเมือง มีเครื่องมือที่สามารถใช้ในการศึกษาเพื่อทำความเข้าใจความเป็นเมืองได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น แผนที่ แผนผัง ภาพถ่าย เพลง ดนตรี ภาพยนตร์ เอกสารลายลักษณ์ ไม่เป็นลายลักษณ์ ฯลฯ แต่ยังมีหลักฐานในการศึกษาเมืองที่น่าสนใจ ที่ทางศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab) อยากจะมานำเสนอ นั่นก็คืองานเขียนที่เรียกว่า “วรรณกรรม”
เราไม่อาจปฏิเสธได้ว่าวรรณกรรมเป็นมุมมองที่สะท้อนความรู้สึกนึกคิดของผู้ประพันธ์ ที่สอดแทรกกลิ่นอายภาพสังคมแห่งยุคสมัย ผ่านบันทึกที่ร้อยเรียงออกมา ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบร้อยกรอง หรือรูปแบบร้อยแก้ว บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับรสนิยมของผู้ประพันธ์โดยตรง
ในการศึกษาเมืองผ่านวรรณกรรม จึงอาจเป็นทางเลือกหนึ่ง ที่ผู้ศึกษาเรื่องเมืองอาจจะมองข้ามไม่ได้
นอกจากวรรณกรรมจะช่วยให้เราเข้าใจบริบททางสังคมที่ผู้ประพันธ์ต้องการสื่อออกไป วรรณกรรมยังช่วยให้เราเข้าใจความเป็นเมืองในห้วงเวลาที่ผู้ประพันธ์อยู่ร่วมสมัย ผ่านความรู้สึกนึกคิดและชีวิตที่ผู้ประพันธ์ได้สัมผัส โดยเฉพาะหากเราลองมองสังคมกรุงเทพฯ ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ วรรณกรรมก็เป็นอีกข้อมูลหนึ่งที่ผู้ศึกษาไม่อาจมองข้ามได้
โอกาสนี้ ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง(Urban Studies Lab) จึงอยากจะชวนทุกคน “มองคลอง มองเมือง ” ผ่านเสี้ยวหนึ่งในวรรณกรรมของกวีต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยหยิบยกวรรณกรรมคลาสสิกสำคัญ 2 เรื่อง คือ
ในเรื่องแรกจะเป็นนิราศพระแท่นดงรัง(ปี 2376) ของสามเณรกลั่น(ในฐานะบุตรบุญธรรมของสุนทรภู่) ส่วนเรื่องที่สองจะเป็นโคลงนิราศสุพรรณ(ปี 2384) ของสุนทรภู่วรรณกรรมทั้ง 2 เรื่องนี้กล่าวได้ว่าเป็นเสมือนไดอารีชีวิตของกวี ทั้งยังช่วยฉายภาพพื้นที่กรุงเทพฯ อย่างคลองมหานาค วัดสระเกศ วัดเชิงเลน(วัดบพิธพิมุขวรวิหาร) วัดเลียบ(วัดราชบุรณราชวรวิหาร) และย่านการค้าริมคลองรอบกรุง(คลองโอ่งอ่าง - บางลำพู) ผ่านคำถามที่ว่าในอดีตพื้นที่บริเวณดังกล่าวมีกิจกรรมที่สัมพันธ์กับพื้นที่ และวิถีชีวิตของผู้คนในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เป็นอย่างไร?

พวกเราได้หยิบบางส่วนในวรรณกรรมของสุนทรภู่และสามเณรกลั่น (เฉพาะบริเวณตั้งแต่คลองมหานาค - คลองรอบกรุงฝั่งใต้(คลองโอ่งอ่าง) เพื่อชี้ชวนให้เห็นภาพความเป็นกรุงเทพฯ ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผ่านความรู้สึกนึกคิด และชีวิตเชิงประสบการณ์ของกวี ที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ดังสถานที่ที่ปรากฎผ่านนิราศตั้งเเต่คลองมหานาค วัดสระเกศ คลองรอบกรุง วัดเชิงเลน ตลาดการค้า ไปจนถึงปากคลองรอบกรุงฝั่งใต้ ยังคงปรากฎภูมินามของการตั้งถิ่นฐานของผู้คน ตลอดจนการดำรงชีวิตที่สัมพันธ์กับพื้นที่ ดังนั้น วรรณกรรมดังกล่าวจึงช่วยสะท้อนภาพมุมมองคลอง มุมมองเมือง ก่อนที่ภูมิทัศน์ความเป็นเมืองค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงจากสังคมชาวน้ำมาสู่สังคมเมืองแบบใหม่ที่จะเริ่มให้ความสำคัญกับถนนหนทางมากขึ้นใหม่ในภายหลัง

มองคลอง มองเมือง ผ่านเรื่องราววรรณกรรมของสุนทรภู่
การเดินทางของสุนทรภู่ทั้ง 2 เรื่อง มีจุดมุ่งหมายที่สำคัญแตกต่างกันในรายละเอียด โดยในโคลงนิราศสุพรรณสุนทรภู่ต้องการที่ัจะไปหาแร่ปรอทย่านเมืองสุพรรณบุรี สำหรับเป็นยาอายุวัฒนะ ส่วนในเรื่องนิราศพระแท่นดงรัง สุนทรภู่ เดินทางพร้อมด้วยสามเณรกลั่น สามเณรตาบและสามเณรพัด สำหรับไปนมัสการพระแท่นดงรัง แขวงเมืองกาญจนบุรี ตามแนวคิดการจาริกแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนในที่ราบลุ่มภาคกลาง เช่น การนมัสการพระปฐมเจดีย์ พระพุทธบาท พระพุทธฉาย เมืองสระบุรี เป็นต้น
หากเรามองการเดินทางแบบสุนทรภู่ ใช่ว่าบุคคลทั่วไปจะสามารถเดินทางได้อย่างสะดวกเหมือนอย่างปัจจุบัน เนื่องจากเงื่อนไขในรัฐจารีตย่อมมีข้อจำกัดในการเดินทาง ทั้งการขออนุญาตมูลนาย การกลัวเรื่องไพร่จะหนีมูลนาย ซึ่งการเดินทางมีผลต่อความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างมาก เหตุที่จะมีการเดินทางออกนอกพระนครได้นั้น ต้องสัมพันธ์กับการเดินทัพ การแสวงบุญ และผู้ที่เดินทางได้สะดวก มักจะเป็นกลุ่มชนชั้นนำ กุฎุมพี พระสงฆ์ นักบวช ผู้เผยแพร่ศาสนา ซึ่งสุนทรภู่มีสถานภาพที่เข้าเกณฑ์การเดินทางเช่นกลุ่มคนเหล่านี้อยู่
เข้าสู่การเดินทางของสุนทรภู่และคณะ เริ่มต้นการเดินทางในยามราตรีที่เงียบสงัด เขาได้พรรณนาถึงสถานที่ต่าง ๆ ด้วยอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดตามขนบงานเขียนที่เรียกว่า“นิราศ” ที่ต้องรำพึงรำพันตามสถานที่ที่จากมา ตั้งแต่ท่าเรือบริเวณคลองมหานาค ผ่านเข้าสู่คลองรอบกรุง(โอ่งอ่าง - บางลำพู) เลี้ยวผ่านวัดสระเกศ ไปจนกระทั่งออกเเม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดเชิงเลน

สามแยกคลองมหานาค-คลองรอบกรุง : ท่าเรือ การค้า และ แหล่งมหรสพ
ดังจะเห็นได้จากมุมมองของสุนทรภู่และสามเณรกลั่น ได้พรรณนาให้เห็นภาพของคลองมหานาคในยามราตรี ผนวกกับต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นตามสองฝั่งคลอง ซึ่งเป็นท่าเรือหลักของการออกเดินทางในครั้งนี้
คลองมหานาคที่ทั้งสองเดินทาง เป็นคลองที่ขุดขึ้นในปี 2326 ผ่านกลุ่มแรงงานชาวจาม ถูกเกณฑ์เพื่อขุดคลองเชื่อมกับคลองรอบกรุงบริเวณป้อมมหากาฬ มุ่งไปทางทิศตะวันออกฝั่งทุ่งบางกะปิ เป็นพื้นที่ชุมนุมการเล่นเพลงเรือ ร้องเพลงสักวา แข่งเรือในเทศกาลฤดูน้ำหลาก โดยอิงกับพื้นที่ของคลองมหานาคที่อยู่ในพื้นที่กรุงเก่า(อยุธยา) มาใช้ในพื้นที่ของกรุงเทพฯ มีเกาะยายชีเป็นพื้นที่กลางคลองมหานาคสำหรับเป็นศูนย์กลางการชุมนุมการเล่นต่าง ๆ ในฤดูน้ำหลากและหน้าเทศกาล ตลอดจนเป็นจุดนัดพบ เป็นจุดบรรจบของคลองทั้งสองที่เหมาะกับเป็นท่าเรือ สำหรับผู้ที่ใช้เดินทางในพระนครฟากทางทิศตะวันออก
ในด้านหนึ่งบริเวณริมคลองมหานาค ฟากทางทิศเหนือ ตรงข้ามกับวัดสระเกศ เป็นพื้นที่ตั้งหลักปักฐานของกลุ่มละครชาตรี หนังตะลุง ที่ถูกกวาดต้อนและอพยพมาจากหัวเมืองปักษ์ใต้จากเมืองนครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลาและมลายู มาตั้งแต่ปี 2375 เป็นต้นมา ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณย่านสนามกระบือ(วัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค) - วัดสิตาราม(วัดคอกหมู)) ในบริเวณที่เรียกว่า “ย่านนางเลิ้ง” ในปัจจุบัน แม้ว่าสุนทรภู่จะไม่ได้กล่าวถึงในนิราศโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า บริเวณนี้คือแหล่งรวมของบรรดานักเลง เพลงกลอน และสอดคล้องกับที่ตั้งที่ผู้คนต่างมาชุมชนเพื่อประชันเพลงเรือและสักวากันมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์

วัดสระเกศ : พื้นที่ป่าช้า การจัดการศพ นอกพระนครผ่านบทสะท้อนผ่าน
เรื่องราวของสุนทรภู่
หลังจากผ่านคลองมหานาค สุนทรภู่และสามเณรกลั่นได้ล่องเรือเข้าคลองรอบกรุง(คลองโอ่งอ่าง - บางลำพู) สุนทรภู่ได้พรรณนารำพึงถึงมารดาที่ตั้งศพอยู่ที่วัดสระเกศแห่งนี้ ซึ่งวัดสระเกศนับว่าเป็นวัดสำคัญมาตั้งเเต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อว่า “วัดสะเเก” โดยเฉพาะพระปรางค์ใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นให้ใหญ่โตฟากตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คู่กับพระปรางค์ใหญ่วัดอรุณราชวราราม เเต่ยังไม่ทันเเล้วเสร็จฐานก็ทรุดตัวและร้างจนต้นไม้ปกคลุมดูเป็นภูเขา ก่อนจะถูกสร้างขึ้นใหม่ในภายหลังเป็นพระเจดีย์ทรงลังกา
ขณะเดียวกัน ชื่อเสียงของวัดสระเกศนั้น เป็นพื้นที่สำคัญของเมืองในฐานะพื้นที่เผาศพของผู้คนใน
พระนคร
ด้วยตำแหน่งของพื้นที่ ตั้งอยู่นอกกำเเพงเมืองฟากตะวันออก ข้ามคลองรอบกรุง(โอ่งอ่าง - บางลำพู) บริเวณที่เรียกกันว่า “ประตูผี” เนื่องจากเป็นประตูที่นำศพออก มีการกำหนดพื้นที่สำหรับเป็นที่เผาศพและจัดการศพ โดยมีเมรุเผาศพสำหรับเผาโดยเฉพาะ คาดว่าในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สุนทรภู่ได้กล่าวถึงการยกมือเพื่อไหว้มารดาที่อยู่ ณ วัดสระเกศ ซึ่งน่าสนใจว่า ช่วงเวลาที่สุนทรภู่กล่าวนั้นใกล้ เคียงกับที่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะในปี 2363 เกิดโรคระบาดขึ้นในพระนคร ทำให้ผู้คนล้มตายจากอหิวาห์ตกโรค และต้องเร่งนำศพออกมาเผาที่วัดสระเกศเป็นจำนวนมาก

ปากคลองรอบกรุงฝั่งใต้ : ตลาดการค้าเกลือ โอ่งอ่าง และ
วัดเชิงเลน- วัดเลียบ
จุดสุดท้ายที่สุนทรภู่และสามเฌรกลั่น ได้เดินทาง เรื่อยมาตามแนวคลองรอบกรุง และออกแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านทางทิศใต้ของพระนคร ได้กล่าวถึงสถานที่สำคัญ คือ บริเวณที่เรียกว่า “เชิงเลน” (คาดว่าคือบริเวณวัดเชิงเลนหรือวัดบพิธภิมุขวรวิหาร - ตลาดสำเพ็งในปัจจุบัน) ว่าเป็นพื้นที่ตลาดค้าขายจำพวกโอ่งอ่าง และเกลือ ซึ่งบริเวณนี้คราคร่ำไปด้วยเรือพ่อค้าและเรือนแพเนื่องด้วยอยู่ใกล้กับบริเวณปากคลองที่จะออกก่อนสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
หากจะย้อนไปในช่วงต้นกรุงฯ คลองรอบกรุงคลองนับเป็นปราการที่ถูกขุดขึ้น เพื่อทำหน้าที่ล้อมพระนครฟากตะวันออกขึ้นชั้นหนึ่ง ทั้งยังทำหน้าที่เป็นเส้นทางคมนาคม การค้า สำหรับการสัญจรไปมาของผู้คน อย่างไรก็ตามคลองรอบกรุงนี้ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามภูมินามของพื้นที่ที่สัมพันธ์กับลักษณะเด่นสำคัญๆ ในพื้นที่นั้น ๆ ดังตอนเหนือจากป้อมพระเมรุจรถึงสามแยกคลองมหานาค จะเรียกว่า “คลองบางลำพู” เนื่องจากบริเวณปากคลองดังกล่าวมีต้นลำพูขึ้นหนาแน่น ตอนผ่านสะพานหัน จะเรียกว่า “คลองสะพานหัน” เมื่อผ่านวัดเชิงเลน(วัดบพิธพิมุขวรวิหาร) เรียกว่า “คลองวัดเชิงเลน” เมื่อออกปากคลองสู่เเม่น้ำเจ้าพระยาเรียกว่า “คลองโอ่งอ่าง” เพราะบริเวณนั้นเป็นพื้นที่จำหน่ายขายโอ่งอ่าง กระถาง ภาชนะต่าง ๆ ของกลุ่มจีนและมอญ โดยเฉพาะกลุ่มมอญที่มีความชำนาญในเรื่องการปั้นตุ่ม โอ่ง โดยแหล่งปั้นสำคัญคือ สามโคก เมืองปทุมธานี
ขณะเดียวกันสุนทรภู่ ได้สะท้อนภาพสังคมชาวน้ำของผู้คนต้นกรุงฯ ยังแสดงออกผ่าน “เรือนแพ” ที่เป็นเรือนอาศัยและการค้า ที่สัมพันธ์กับการค้าและวิถีชีวิตของผู้คนที่ใช้เส้นทางน้ำในการทำกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เสมอ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงโดยถนนในช่วงเข้าสู่รัฐสมัยใหม่ จะทำให้บทบาทของคูคลองในเมืองลดลง กลายมาเป็นตึก ห้องแถว ร้านค้าบนบก
นอกจากภาพสถานที่ เรือนแพ การค้าโอ่งอ่างแล้ว ยังมีการค้าขายเกลือ คาดว่าเกลือที่กล่าวถึงในวรรณกรรม เป็นเกลือสมุทรที่เป็นวัตถุดิบท้องถิ่นจากหัวเมืองปากใต้ แหล่งเกลือสำคัญอยู่บริเวณเมืองสมุทรปราการ สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และส่วนหนึ่งของภาคตะวันออกที่มีร่องรอยแหล่งเกลือสมุทร อย่างชลบุรี ภาพเหล่านี้ช่วยสะท้อนภาพเศรษฐกิจที่ขยายตัวของสภาพบ้านเมืองที่มีการค้าแบบตลาดบริเวณที่ขยายตัวมากขึ้น

ในนิราศมีชีวิต เศรษฐกิจ สังคมเมืองกรุงเทพฯในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์
แม้ว่าการเดินทางของสุนทรภู่จากคลองมหานาคเพื่อเดินทางไปยังสุพรรณบุรี และการเดินทางไปนมัสการพระแท่นดงรัง จะเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่ทางศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab) หยิบยกตัวอย่างเฉพาะพื้นที่บริเวณตั้งแต่คลองมหานาคไปจนถึงคลองรอบกรุงฝั่งใต้(คลองโอ่งอ่าง)เท่านั้น บันทึกนี้ได้ช่วยสะท้อนภาพความเป็นกรุงเทพฯ ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผ่านความรู้สึก นึกคิด
และชีวิตเชิงประสบการณ์ของกวีทั้งสอง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ผ่านสถานที่ตามคูคลอง และมุมมองชีวิตของเมือง ก่อนที่ฉากภูมิทัศน์การเปลี่ยนแปลงของเมืองจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ จากสังคมชาวน้ำมาสู่สังคมเมืองที่รับอิทธิพลและแรงบันดาลในจากดินแดนอาณานิคมตะวันตก ที่ให้ความสำคัญกับถนนหนทางขึ้นใหม่ในภายหลัง
ค้นคว้า และ เรียบเรียง : นายอิทธิกร ทองแกมแก้ว
ภาพออกแบบการสื่อสาร : ชยพล สิทธิกรวรกุล
.อ้างอิง
นิธิ เอียวศรีวงศ์.ปากไก่และใบเรือ. นนทบุรี : ฟ้าเดียวกัน.2555.
สุจิตต์ วงษ์เทศ.กรุงเทพฯ มาจากไหน. กรุงเทพฯ : มติชน.2548.
โคลงนิราศสุพรรณฉบับอ่านทวนต้นฉบับสมุดไทย “จาฤกเรื่องเมืองสุพรรณ”.สุพรรณบุรี : วัดพระรูป.2568.
เอนก นาวิกมูล.ถิ่นฐานบ้านช่อง. กรุงเทพฯ : พิมพ์คำ.2546.
ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ชื่อบ้านนามเมืองในกรุงเทพฯ. กรุงเทพฯ : มติชน.2551.
ภิญญพันธ์ุ พจนะลาวัลย์. ประวัติศาสตร์แห่งการเดินทางและภูมิศาสตร์การเมืองในรอบศตวรรษ. กรุงเทพฯ : สมมติ. 2563.
ธนภน วัฒนกุล.การเมืองเรื่องพื้นที่พลวัตทางสังคมของชุมชน(กรณีศึกษา: ชุมชนป้อมมหากาฬ).
ส.พลายน้อย.แม่น้ำลำคลอง. กรุงเทพฯ : มติชน. 2555.
วีระยุทธ ปีสาลี. กรุงเทพฯ ยามราตรี. กรุงเทพฯ : มติชน.2557.
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. ฐานข้อมูลนามานุกรมวรรณคดีไทย.
Comments