top of page

ค้นหา

217 results found with an empty search

  • USL Open House 2023

    จบไปแล้วสำหรับกิจกรรม USL Open House 2023 เรียนรู้มุมมองคนทำงานเมือง ที่จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา ขอขอบคุณทุกท่านที่สนใจเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการเรียนรู้การทำงานเมืองกับพวกเราชาว USL และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมงานกับทุกท่านเพื่อช่วยกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงเมืองที่ดีในอนาคต ทางเรายินดีอย่างมากที่ได้สร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ แชร์ประสบการณ์ และทำให้ทุกคนได้มารู้จักเพื่อนใหม่ที่สนใจในเรื่องเดียวกันผ่านการเปิดบ้านในครั้งนี้ เรายังมีกิจกรรมสนุกๆ อีกมากมายรอให้ทุกท่านเข้ามามีส่วนร่วมและเรียนรู้ไปด้วยกัน สามารถกดติดตามเพจ Facebook Instagram และ website ของเรา ไว้เพื่อไม่ให้พลาดกิจกรรมสนุก ๆ ในครั้งต่อไปได้ที่ Facebook : urbanstudieslab Instagram : uslbangkok website : www.uslbangkok.com แล้วพบกันใหม่ในกิจกรรมครั้งหน้านะคะ

  • กิจกรรมการเรียนรู้ข้ามพรมแดน “เมืองเท่าเทียมเพื่อสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดี”

    Urban Studies Lab ได้รับเกียรติเป็นผู้จัดหลักสูตรการเรียนรู้ข้ามพรมแดน Learning Across Boundaries (LAB) ในหัวข้อ Equitable City for Health and Well-being กิจกรรมการเรียนรู้ข้ามพรมแดนที่มีชื่อว่า “เมืองเท่าเทียมเพื่อสุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดี” หรือ Equitable City for Health and Well-being LAB (Learning Across Boundaries) ที่ USL ได้จัดขึ้นร่วมกับมหาวิทยาลัย Yale-NUS College จากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 5 - 12 มิถุนายน 2566 โดยมีผู้เข้าร่วมเป็นนักศึกษาจาก Yale-NUS College ทั้งหมด 11 คน การเรียนรู้ข้ามพรมแดนถือเป็นความท้าทายอย่างมากในการส่งต่อความรู้ให้ผู้เข้าร่วมทุกคนเข้าใจถึงบริบทปัญหา สภาพแวดล้อม และอัตลักษณ์ของกรุงเทพอย่างแท้จริงในระยะเวลาอันสั้น แต่น้อง ๆ นักศึกษาจาก Yale NUS College นั้น สามารถนำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาได้อย่างดีเยี่ยม และได้รับคำชมจากเจ้าหน้าที่จากสำนักอนามัยฯ สำนักพัฒนาสังคม และตัวแทนรองปลัดกรุงเทพมหานคร จุดมุ่งหวังของ USL ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ข้ามพรมแดนภาคฤดูร้อนในครั้งนี้คือการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อการพัฒนาเมือง การส่งต่อองค์ความรู้ทั้งในรูปแบบ Top-down และ Bottom-Up การสร้างกลไกการทำงานร่วมกันของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในเมืองอย่างยั่งยืน รวมไปถึงการใช้ข้อมูลที่มีหลักฐานอย่างเป็นประจักรในการบ่งชี้ถึงปัญหา และการวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจที่แม่นยำในการแก้ไขปัญหา Urban Studies Lab (USL) is promoting the urban living lab model in Thailand; to build a platform for collaborative/bottom-up action with academic institutions, public sector, local community, and private sector to create real impact such as community revitalization, participatory strategy development, budget design, and public policy recommendation. The Equitable City for Health and Wellbeing LAB focuses on developing practical and innovative tools to enhance health promotion strategies in Bangkok. In this course, participants get to learn about the different approaches, methods, and interventions that are currently in use for the health and well-being of the 4 vulnerable groups (at-risk youth, people with disabilities, urban poor, and aging elderly). The LAB focused on the 4 vulnerable groups’ access to health and well-being from policy level to action level. participants may come across issues such as lack of public space, cleanliness, waste management, and mental struggles, for example. They will be able to decide what specific issues they want to focus on based on their interests after gathering enough information. We encourage participants to think outside the box and ideate solutions that best fit the communities’ needs. participants may find solutions that tackle issues from a top-down approach or a bottom-up approach. The main goal is to strengthen and empower the local community. We take into consideration that the participants may be inexperienced in the field. We plan to have our trained staff working alongside the participants to help frame their questions and guide them throughout the entire process. หัวข้อในหลักสูตร การบรรยาย หัวข้อ มหานครแห่งสุขภาพ: กรณีศึกษา กรุงเทพมหานคร (Healthy Metropolitan: A Case Study of BMA) โดย รศ.ดร.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร การอบรม – User Empathy and Design Thinking โดย อาจารย์ พิณ อุดมเจริญชัยกิจ รองผู้อำนวยการ USL และสำนักเลขาธิการ FREC การเรียนรู้เครื่องมือ – การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเมือง (City Data Collection and Analysis) โดย ดร. พงษ์พิศิษฐ์ หุยากรณ์ กรรมการ FREC, ผู้อำนวยการ USL การบรรยาย หัวข้อ Urban Governance for Health and Well-being โดย อาจารย์ว่าน ฉันทวิลาสวงศ์ การบรรยาย หัวข้อ ข้อค้นพบโครงการสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรกลุ่มเปราะบาง: กรณีศึกษา (Findings on Health and Well-being Projects for Vulnerable Population: case study) โดย ดร. นณริฏ พิศลยบุตร นักวิชาการอาวุโส ด้านนโยบายเศรษฐกิจส่วนรวมและเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) การบรรยาย หัวข้อ ข้อค้นพบเกี่ยวกับนวัตกรรมเชิงพื้นที่เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Space-Based Innovation for Health and Well-being) โดย รศ.ดร.พนิต ภู่จินดา ศูนย์สร้างเสริมสุขภาวะเมือง (Healthy Space Forum) การบรรยาย หัวข้อ การจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย (Develop policy recommendation) โดย ดร. พงษ์พิศิษฐ์ หุยากรณ์ กรรมการ FREC, ผู้อำนวยการ USL Mentoring session ร่วมกับมูลนิธิสติ (Sati Foundation) ในหัวข้อ สุขภาวะและความเป็นอยู่ที่ดีของเยาวชนกลุ่มเสี่ยงจากมุมมองขององค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (At-risk youth through a non-profit organization perspectives) โดย คุณเสกสรร รวยภิรมย์ ผู้อำนวยการมูลนิธิสติ, ผู้ประกอบการเพื่อสังคม การจัดหลักสูตรการเรียนรู้ข้ามพรมแดนภาคฤดูร้อน (Summer LAB) ในครั้งนี้เรามุ่งหวังให้นักศึกษาจากประเทศสิงคโปร์ได้รับความรู้เรื่องการพัฒนาเมืองทั้งในมุมมองของภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคการศึกษา และภาคประชาชน ซึ่งต่างเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนากรุงเทพฯ ศูนย์บริการสาธารณะสุข 20 มากไปกว่านั้น นักศึกษายังมีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมศูนย์บริการสาธารณะสุข 20 เขตป้อมปราบฯ เพื่อศึกษาระบบการส่งความช่วยเหลือโครงสร้างขององค์กร และเปิดพื้นที่เพื่อการถามตอบ (Q&A) ซึ่งหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจกันมากๆ คือเรื่องการมีอาสาสมัครสุขภาพ (อสส.) ในแต่ละชุมชน ซึ่งแตกต่างจากระบบการส่งความช่วยเหลือด้านสุขภาพในประเทศสิงคโปร์ การเรียนรู้พัฒนาเมืองจากมุมมองใหม่ ๆ อาจเป็นโอกาสที่ดีที่กรุงเทพจะสามารถนำแนวคิดและข้อเสนอแนะต่างๆไปปรับใช้ต่อได้ แผนพัฒนาในการแก้ไขปัญหาทั้ง 4 รูปแบบนั้นเกิดขึ้นมาได้ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 8 วัน ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอย่างมากของการจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ข้ามพรมแดน Equitable City for Health and Welling LAB นี้ มากไปกว่านั้นผู้เข้าร่วมยังให้ feedback กลับมาว่าหลักสูตรนี้ได้สร้างความรู้ความเข้าใจในด้านการพัฒนาเมืองในชีวิตจริงที่อาจพบเจอปัญหาจากหลากหลายด้านและแง่มุม Under the short span of 8 days, the Equitable City for Health and Well-being LAB has been a transformative experience for the participants, providing them with valuable knowledge at various scales, from the local community level to the global initiative level. The collaborative partnership with local stakeholders and the exploration of the equity gap in Bangkok have highlighted the need for effective solutions and guidelines to address this pressing issue. Throughout the course, the participants have demonstrated their eagerness to learn, actively engaging in lectures and seeking insights from the professional experiences of the lecturers. Fruitful discussions have been a consistent feature of the LAB, fostering a rich learning environment. The site visits to the communities in the Nang Loeng Area have offered firsthand experiences and insightful information about health and well-being at the community level. The participants have gained a deep understanding of the challenges these communities face and have learned to view their needs from their own perspectives. Under the guidance of mentors, the participants have embraced new tools and applied them to their proposed solutions, allowing for the development of innovative projects. Workshops on user empathy, SWOT analysis, and stakeholder mapping have equipped them with essential skills and frameworks to better understand community needs and identify development opportunities within their projects. The culmination of the LAB was the presentations held at Bangkok City Hall, where participants had the opportunity to share their ideas and solutions with the Department of Social Development and the Department of Health. These presentations provided invaluable feedback from key stakeholders, allowing participants to gain insights from governance agencies and stakeholders with extensive working experience. Overall, the Equitable City for Health and Well-being LAB has not only broadened participants' knowledge but also empowered them to apply their learning and contribute to the development of solutions that address health and well-being disparities in Bangkok. The LAB has fostered a deep sense of understanding and commitment among the participants, paving the way for future initiatives aimed at creating a more equitable and healthy city. GALLERY

  • USL OUTING 2022

    นอกจากการทำงานอย่างทุ่มเทแล้ว การพักผ่อนก็เป็นสิ่งสำคัญที่นอกจากจะช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์แล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเช่นกัน เราจึงอยากมาแชร์ภาพประสบการณ์ เรื่องราวดี ๆ และความทรงจำสุดพิเศษ ในการไปเอาท์ติ้งของพวกเราชาว USL ที่จังหวัดระยองในช่วงสิ้นปี 2022 ที่ผ่านมา ที่เต็มไปด้วยการผจญภัย ความสนุกสนาน และของขวัญสุดพิเศษจากทีมผู้บริหาร ให้ทุกท่านได้มาร่วมสัมผัสเรื่องราวความสนุกของพวกเราไปพร้อมกัน It is crucial to achieve healthy work-life balance. Apart from working diligently, it is essential to take breaks. Vacations do not only foster creative thinking, but they also contribute in beneficial impacts on both physical and mental well-being while enhancing work efficiency. This balance enables us to fully savor our vacation without compromising our tasks. Hence, we eagerly look forward to share photographs that depict our experiences and cherished memories from our USL team outing in Rayong province at the end of 2022. It was a time filled with thrilling adventures, delightful fun, and thoughtful gifts from our directors, further emphasizing the importance of maintaining a harmonious work-life balance.. การล่องเรือพักผ่อนชมพระอาทิตย์ตกดินกับ Sunne Voyage พายเรือชมธรรมชาติ สวนพฤกษศาสตร์ระยอง จับฉลากแลกของขวัญ และลุ้นของขวัญเซอร์ไพรส์จากเหล่าผู้บริหาร

  • Urban Festival- the mechanism to driven establishment of public space

    ตั้งแต่ต้นปี 2566 ที่ผ่านมาการจัดเทศกาลในย่านนั้นกลับมาจัดกิจกรรมได้อีกครั้ง เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น และการผ่อนปรนมาตรการเองที่เปลี่ยนไป ส่งผลให้ในเมืองตอนนี้มีความคึกคักและมีชีวิตชีวา และผู้คนเองก็ออกมาใช้ชีวิตและทำกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะกันมากขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ที่เปลี่ยนไปเลยว่าการจัดเทศกาลเป็นหนึ่งในกลไกที่จะสามารถส่งเสริมให้พื้นที่ในเมืองมีชีวิตชีวามากขึ้น การจัดเทศกาลต่าง ๆ ในเมืองเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่แตกต่างไปของพื้นที่นั้น ๆ และเป็นการส่งเสริมให้พื้นที่ที่อาจจะไม่เคยได้รับการใช้งานให้กลายเป็นพื้นที่ใหม่ในเมืองที่จะสามารถเป็นพื้นที่เพื่อนันทนาการของคนเมืองต่อไปได้ ซึ่งการที่จะจัดกิจกรรมและเทศกาลเพื่อส่งเสริมย่านสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้นได้นั้น จำเป็นจะต้องได้รับความร่วมมือจากหลากหลายภาคส่วน ย้อนดูตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาว่า Urban Studies Lab และ FREC ที่ได้รับการสนับสนุนจาก Ford Thailand นั้น เราได้จัดกิจกรรมสร้างสรรค์เพื่อส่งเสริมพื้นที่สาธารณะในเมือง ผ่านงานเทศกาลออกแบบกรุงเทพฯ​ ประจำปี 2023 (Bangkok Design Week 2023) อะไรไปบ้าง และจะนำไปต่อยอดอย่างไรต่อไปในอนาคต Since the beginning of 2023, various festivals and events in the city have returned to neighborhoods, as the Covid-19 situation has improved and prevention measures also have been relaxed, bringing vibrant and liveliness back to the neighborhood. People are now engaging in activities and being able to enjoy their outdoor-life again. It’s undeniable that the urban festivals play a significant role in fostering a liveliness of the neighborhood, provide more opportunities for people to experience the unique identities of each area and also transform underutilized spaces into new vibrant areas for future recreational space in the city. However, organizing events and festivals to promote creative neighborhoods requires collaboration from various stakeholders. Looking back over the past half year, the Urban Studies Lab and FREC, supported by Ford Thailand, have organized creative activities to enhance public spaces in the city. Through the Bangkok Design Week 2023, we have sparked creativity and contributed to the development of public areas, and how we can carry this momentum forward into the future. Nang Loeng Menu Telling the identities of Nang Loeng through rich culture of food สำรับที่จะบอกเล่าเรื่องราวของย่านนางเลิ้งผ่านเมนูอาหาร ย่านนางเลิ้งเป็นหนึ่งในย่านเมืองเก่าที่สำคัญอีกย่านหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นอีก 1 แลนด์มาร์กสำคัญขึ้นชื่อเรื่องย่านที่เต็มไปด้วยร้านเด็ดร้านดังมานานหลายทศวรรษ Urban Studies Lab ได้จัดกิจกรรมนางเลิ้งเคี้ยวเพลิน คุยมันส์ ไปเมื่อปลายปี 2565 ซึ่งเป็นกิจกรรมการจัดเก็บข้อมูลในย่านในรูปแบบใหม่ ที่ได้ทั้งความสนุกสนาน ได้เพลิดเพลินกับอาหารร้านดัง อีกทั้งยังได้ข้อมูลเชิงลึกจากร้านอาหารในย่านด้วย จากกิจกรรมในครั้งนั้นต่อเนื่องมาจนถึงปี 2566 เราจึงนำข้อมูลและเรื่องราวของร้านอาหาร นำมาสื่อสารด้วยภาพ เพื่อให้บุคคลทั่วไปสามารถเรียนรู้ย่านนางเลิ้งในมุมมองใหม่ที่ไม่เคยได้รู้ ออกมาเป็น “สำรับนางเลิ้ง” สำรับการ์ดที่สื่อสารเรื่องราวของร้านอาหารผ่านมุมมองของเจ้าของร้านที่อยากจะแนะนำตัวตนของร้านให้ทุกคนรู้จัก สำรับนางเลิ้งจึงเป็นตัวแทนในการบอกเล่าเรื่องราวของย่าน รวมถึงช่วยส่งเสริมการกระตุ้นเศรษฐกิจและธุรกิจขนาดเล็กในย่าน ผ่านการทำให้ร้านค้าเป็นี่รู้จักและเชื้อเชิญคนเข้ามาในร้านค้าได้มากขึ้น Nang Loeng is one of the significant historic districts in Bangkok, known for its vibrant and renowned establishments that have been around for decades. In late 2022, the Urban Studies Lab organized an event called "Nang Leong Feast and Fun," which aimed to collect data in a new and enjoyable way. Participants had a great time indulging in delicious food from famous restaurants while gathering in-depth insights about the neighborhood. Following that event, we continued gathering data and stories throughout 2023, and we decided to communicate the essence of the neighborhood through visualization. This resulted in the creation of "Nang Loeng Menu," a card set that tells the stories of the restaurants from the perspective of their owners, who wanted to introduce their establishments to a broader audience. The Nang Leong Menu serves as a representative, sharing the narratives of the neighborhood while also stimulating the local economy and small businesses by making the restaurants more recognizable and inviting, it encourages more people to visit and support these restaurants. Park Pods Mobile Public Spaces from Recycling พื้นที่สาธารณะเคลื่อนที่ได้จากการรีไซเคิล พื้นที่สาธารณะที่เคลื่อนที่ได้ จากรถเข็นปลดระวางจากโรงงานของ Ford Thailand นำมาสร้างเป็นพื้นที่สาธารณะเล็กๆที่สามารถติดตั้งเข้าได้กับทุกบริบทของพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่นั่งเล่น พื้นที่สวนครัว พื้นที่สีเขียวเพื่อการสันทนาการ เนื่องจากพื้นที่นางเลิ้งเองเป็นพื้นที่ที่มีความซับซ้อนของการถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ดังนั้นการจัดสรรที่ดินเพื่อการทำพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ ในชุมชนจึงเป็นไปได้ยาก Park pods จึงเป็นแนวทางการออกแบบที่นำเสนอพื้นที่สาธารณะแก่ชุมชนในรูปแบบใหม่ ส่งเสริมให้เกิดการใช้ประโยชน์พื้นที่เล็ก ๆ ในชุมชนที่อาจจะถูกมองข้าม ขับเคลื่อนให้สามารถเกิดการจัดตั้งพื้นที่สาธารณะของชุมชนต่อไปได้ในอนาคต และทำให้คนในชุมชนตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของการมีพื้นที่สาธารณะเหล่านี้ในชุมชนด้วย Park Pods are mobile public spaces created from recycled Ford Thailand Manufacture factory trolleys. These small movable public spaces can be installed in various contexts, whether it's a seating area, a kitchen garden, or a green space for recreation. Since Nang Loeng itself is a complex area with intricate land rights, allocating land for different types of public spaces within the community is challenging. Park Pods offer a new design approach that presents public spaces to the community, promoting the utilization of small spaces that might otherwise be overlooked. They drive the establishment of future community public spaces and raise awareness among community members about the importance and benefits of having such public spaces within their neighborhood. Enlighten Nang Loeng Presented by FORD โปรเจคที่ปรับเปลี่ยนพื้นที่โรงเรียนสตรีจุลนาค โรงเรียนเก่าแก่ของย่านนางเลิ้งที่ไม่ได้มีการใช้งานแล้ว ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ผ่านการจัดนิทรรศการสร้างประสบการณ์แปลกใหม่ โดยการใช้ออกแบบ Experience and Interactive lighting design โดยกลุ่มศิลปิน Kimbab :) and friends เชิญชวนให้ผู้เยี่ยมชมได้รู้สึกหวนระลึกถึงประสบการณ์ในวัยเรียนอีกครั้ง จากนิทรรศการ Enlighten Nang Loeng Presented by FORD ครั้งนี้ ทำให้ผู้ที่มาเยี่ยมชม ได้พบกับนางเลิ้งในมุมมองใหม่ ๆ ที่นอกเหนือไปจากการเป็นย่านเมืองเก่า ได้พลิกมุมมองของผู้คนที่มีต่ออาคาร สถาปัตยกรรมเก่าที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว ให้เป็นพื้นที่ที่มีคุณค่าต่อย่านและคนในชุมชนต่อไป เราคาดหวังว่าจากการจัดนิทรรศการในครั้ง จะสามารถสร้างแรงบันดาลในให้กลุ่มศิลปินที่จะเข้ามาในย่าน เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะในมุมมองใหม่ ๆ และทำให้โรงเรียนแห่งนี้จะไม่เป็นเพียงโรงเรียนเก่า แต่จะได้รับการมาเยี่ยมชมและใช้งานอย่างหลากหลายต่อไปในอนาคต The project aims to rejuvenate the unused Satri Chulanak School, an old school in the Nang Loeng neighborhood, by organizing an exhibition that creates a new and unique experience through the use of Experience and Interactive lighting design by the artist group Kimbab :) and friends. The exhibition invites visitors to reminisce about their school days. Through this Enlighten Nang Loeng exhibition presented by FORD, visitors have the opportunity to see Nang Loeng from a fresh perspective beyond its identity as an old town. The exhibition transforms people's perception of abandoned buildings and architectural heritage, turning them into valuable spaces for the neighborhood and its residents. We hope that this exhibition will inspire artists to come to the neighborhood and create art in new perspectives, making the school not just an old institution but a place to be visited and utilized in various ways in the future. งานสัปดาห์การออกแบบกรุงเทพ Bangkok Design Week 2023 จึงเป็นอีกหมุดหมายสำคัญที่ทำให้ผู้คนจากหลากหลายพื้นที่ได้เข้ามาเยี่ยมชมและเรียนรู้ย่านนางเลิ้งใหม่ ผ่านงานศิลปะและงานออกแบบ เปิดมุมมองและโลกทัศน์ที่มีต่อย่านเมืองเก่าว่าสามารถเป็นย่านที่สนุกสนาน มีชีวิตชีวา ปรับเข้ากับสมัยใหม่ และยังคงมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนอยู่ The Bangkok Design Week 2023 becomes another significant milestone that allows people from different areas to visit and learn about the new Nang Loeng neighborhood through art and design. It opens up new perspectives and visions for the old town, showing that it can be a vibrant, lively place that adapts to modern times while still retaining the unique charm of the community.

  • โครงการออกแบบฝาท่อกรุงเทพมหานคร

    เมืองเดินได้ของคุณเป็นอย่างไร? “การเดินที่ดีก็ควรจะน่าสนใจนะ” “ฟุตบาทก็มีไว้ใช้แค่เดินหรือเปล่า มันใช้ทำอย่างอื่นได้อีกหรอ” “สะอาดและมีเสน่ห์ เป็นพื้นที่ที่ฉันสามารถพาคุณตามาเดินเล่นได้ค่ะ” บทสัมภาษณ์ผู้คนริมทางเท้าตามแนวคลองผดุงกรุงเกษมนำไปสู่ การตั้งคำถามและการจัดกิจกรรมเชิงบูรณาการการเรียนรู้เรื่องเมืองกับผู้ที่ใช้งานพื้นที่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นจุดเริ่มของความคิดในการสร้างสรรค์ ผลงานออกแบบที่สามารถเปลี่ยนให้ฟุตบาทเป็นได้มากกว่าแค่ทางเท้าให้คนเดินผ่าน แต่สามารถสร้างประโยชน์เชิงสังคม และส่งเสริมการออกแบบเมืองอย่างมีส่วนร่วม (participatory planning) ในขณะที่งานวิจัยเรื่องความเดินได้ของเมืองมักถูกจำกัดด้วยการศึกษาเชิงสถิติในโลกวิชาการ หรือถูกตรีตราว่าเป็นแขนงการศึกษาวิจัยที่เป็นนามธรรมและเข้าใจยาก การเดินได้ของเมือง (urban walkability) นั้นยังคงเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่ชีวิตในเมืองเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในยุคของสังคมผู้สูงอายุ สิ่งสำคัญของนักออกแบบและวิจัยด้านเมืองยังคงสะท้อนกลับมาถึงแง่มุมเล็ก ๆ ของชีวิตคนเมืองอย่างการเดินเท้า ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab: USL) ได้จัดกิจกรรมออกแบบฝาท่อร่วมกับน้อง ๆ นักเรียนจากโรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยาและมูลนิธิ The Hub สายเด็ก ในหัวข้อ “คลองของฉัน เมืองในฝัน” ซึ่งได้รับการสนับสนุนกิจกรรมจากกรุงเทพมหานคร เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพัฒนาภูมิทัศน์ทางเท้าในพื้นที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อสร้างพื้นที่เชิงสังคมในย่านนางเลิ้ง และสนับสนุนการพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ และได้ส่งต่อภาพวาดฝีมือของน้อง ๆ ไปยังนักออกแบบกลุ่มเมืองยิ้ม จนออกมาเป็นฝาท่อที่ส่งเสริมและสนับสนุนการออกแบบ วางแผน และพัฒนาเมืองที่ตระหนักถึงผู้คนและความหลากหลายในเชิงค่านิยมและความคิด ผ่านการออกแบบฝาท่อที่สร้างเรื่องราวและมอบสีสันให้กับการเดินเท้าในเมือง USL และกลุ่มเมืองยิ้มชื่อว่าฝาท่อเป็นได้มากกว่าเพียงสิ่งปิดท่อระบายน้ำ แต่ยังสามารถสร้างสีสันและประโยชน์ในเมืองในการสนับสนุนกับพัฒนาเมืองอย่างมีส่วนร่วม และการออกแบบเมืองอย่างสร้างสรรค์และมีส่วนร่วม ทั้งนี้ การพานักเรียนและน้อง ๆในชุมชนกลับไปเดินชมและทำกิจกรรมในพื้นที่โครงการยังช่วยเสริมสร้างความผูกพันธ์และความภูมิใจกับพื้นที่ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาเมืองอย่างสร้างสรรค์ในระยะยาวอีกด้วย เชิญชวนทุกคนมาร่วมตามหารอยยิ้มที่ถูกซ่อนไว้อยู่มากกว่า 70 รอยตลอดพื้นที่โครงการกว่า 4 กิโลเมตรตามแนวริมคลองผดุงกรุงเกษม มาร่วมแสดงความคิดเห็นและเสนอแนวคิดในการสร้างสรรค์เมืองของคุณทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยการติด #เมืองยิ้มได้ แล้วพบกันนะครับ What’s the ideal image of your walkable city? “A good walk should be interesting,” “It’s just a walkway. How much fun and useful can it be,” “Clean yet charming - a place I could bring my grandparents to,” . Remarked participants on street interview during the initial site visit of the designer team which led to the question on improving walkability through community engagement and participatory planning. While the notion of walkability in itself is argued among academia as abstract and elusive, the ability to walk down the street safely and comfortably remains the pedestrian’s fundamental rights and thus the responsibility of planners and urban designers - especially with the contemporary fast-paced civic life and the rising trend of aging society. What lies beyond the go-to statistical data study of “how walkable is this street?” are the urban sociological fabric and the social impacts the walking condition has on the underlying civic life in the area. Through the “My Canal, Our Dream City'' drawing workshops with local school students at the Bamrung Islam Witthaya School and the Childline Thailand Foundation in collaboration with the Bangkok Metropolitan Administration, the Urban Studies Lab collaborated with three emerging designers from the MueangYim group (TH: กลุ่มเมืองยิ้ม, lit: the smiling city group) on creating the the alternative and thought-provoking Bangkok’s manhole cover that could lead up to the public conversation on creative urban development that need not limit to the top-down policy. The design delivery intends to redefine the notion of “walking as the art of landscape’ and how Bangkok could see the creative vibrancy of a walk down the street that put a smile on their face. USL and the MueangYim group believed that walkway is more than a space for passing by, and manhole cover could also contribute to fruitful spatial appropriation on the horizontal plane. Civic life is alive with the sociological fabric of street life at eye level. While the drawing workshop with local school students encourages the learning outside the classroom through its creative art approach, continuing works from the designers team brought life to the student’s drawing ‘lines’ they eventually contribute to the development of their hometown - instilling the courage to speak up about what they think matters in civic development. Furthermore, a site revisit with students also contributes to creating the urban classroom, encouraging participatory planning for creative urban development while enhancing the sense of belonging in the area. Gradually, people make the Land of Smile - just one step at a time. This design project hides 70+ smiles on the newly renovated BoBae canal walk, stretching over 4 kilometers along the waterside. Can you find them all? Come join us online via #เมืองยิ้มได้ and in Bobae area opening April 2023 onward. Designer: Wattana Songpetchmongkol Lonsai Kangkhao Tharm Sriprerd

  • “เลิกจน?- เยียวยา?- เข้าถึง?”

    ข้อสรุปโครงการแก้จน ปัญหาการเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน วัฏจักรคนจน วันอาทิตย์ที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ที่ประชาชนคนไทยจะได้ใช้สิทธิ์ในการเลือกสมาชิกผู้แทนราษฎร รวมไปถึงนโยบายจากพรรคการเมืองต่าง ๆ สำหรับการเข้าไปทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ และบริหารประเทศในช่วงสี่ปีข้างหน้าถัดจากนี้ นอกเหนือไปจากประเด็นแนวคิด ค่านิยมทางการเมืองต่าง ๆ ที่ร้อนแรงแล้วนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่ได้รับการจับตามองมาโดยตลอดตั้งแต่ต้นปีเช่นกันก็คือนโยบายด้านเศรษฐกิจ จากสภาวะความสะบักสะบอมของเศรษฐกิจโลก โรคระบาดและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อกันเป็นลูกโซ่จนประชาชนหลายส่วนเผชิญกับปัญหาความอัตคัดขัดสน ที่มากขึ้นทั้งจำนวน และความรุนแรง ความเหลื่อมล้ำที่ฉีกห่างระหว่างคนรวยและคนยากจนขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยหากวัดความยากจนด้วยเส้นความยากจนของประเทศไทยนั้น จะมีคนจนทั้งหมด 4.4 ล้านคน และหากใช้มาตรวัดความยากจนหลากหลายมิตินั้น จะพบผู้ยากจนกว่า 8.9 ล้านคนทั่วทั้งประเทศ ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab: USL) ชวนทุกท่านมาส่องนโยบายแก้ปัญหาความยากจนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ ถึงโอกาสและข้อเสนอแนะในการพัฒนานโยบาย เพื่อการเข้าถึงกลุ่มคนจนอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างแม่นยำมากขึ้น * หมายเหตุ USL วิพากษ์ข้อเสนอนโยบายในเชิงมิติความสัมพันธ์ของนโยบาย ผลลัพธ์และกลุ่มเป้าหมายในการแก้ปัญหาความยากจนเท่านั้น โดยถือการนำเสนอนโยบายที่ถูกนำเสนอได้รับการพิจารณาถึงการบังคับใช้แล้ว ในข้อเขียนนี้จะไม่มีการวิพากษ์มิติของความเป็นไปได้ Framework แก้จน - ลำดับความจน “เลิกจน?-เข้าถึง?-พึ่งได้?” นั้นนำเสนอประเด็นมิติสำคัญการเข้าถึงการช่วยเหลือและแหล่งทุนทางการเงิน ซึ่งมีความสำคัญแบบยึดโยงกันไปมา ในการเข้าถึงสวัสดิภาพและเครือข่ายในการต่อยอดไปยังทุนอื่น ๆ ในกรอบความยากจนตามต้นทุน 5 มิติ ได้แก่ ทุนทางสังคม เช่น เครือข่ายเพื่อนฝูง การจัดตั้งชุมชน ทุนทางกายภาพ ได้แก่ ที่อยู่อาศัย ทุนมนุษย์ เช่น สุขภาพ การศึกษา ทักษะอาชีพ ทุนธรรมชาติ เช่น พื้นที่ธรรมชาติเพื่อลดค่าใช้จ่าย พื้นที่สาธารณะเพื่อประกอบอาชีพ ทุนการเงิน เช่น รายได้-รายจ่าย การออม หนี้สิน ในขณะที่ความยากจนของปัจเจกเองนั้นก็มีความแตกต่างในเชิงลำดับขั้นของความรุนแรง ความยากลำบาก มากน้อยต่างกันไป โดยสามารถจำแนกได้ตามกรอบการทำงาน ดังนี้ 1. อยู่ดี - เป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่อสภาวะความแปรปรวน หรือความเสี่ยงต่าง ๆ มีฐานทุนในด้านต่างๆ ที่เพียงพอในการวางแผนอนาคตของตนเอง ครอบครัว และเป็นฐานทุนในระดับชุมชนได้ 2. พออยู่ได้ - เป็นกลุ่มที่มีฐานทุนสำหรับ การดำรงชีพ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะอยู่ รอดได้อย่างปลอดภัย หากประสบกับภาวะความแปรปรวนต่าง ๆ จำเป็นต้องสร้างภูมิคุ้มกัน และยกระดับความเป็นอยู่ให้หลุดพ้นจากสภาวะความขาดแคลน และเปราะบาง 3. อยู่ยาก - เป็นกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานที่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตอยู่ในแต่ละวัน ซึ่งต้องเร่งดำเนินการจัดทางปัจจัยดำรงชีพ / ยกระดับความสามารถในการจัดทางปัจจัยดำรงชีพของตนเองให้พออยู่ได้ 4. อยู่ลำบาก - เป็นกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานในความขาดแคลนการดำรงชีวิต ต้องนำเข้าสู่ระบบสวัสดิการโดย เร่งด่วน ด้านโครงการช่วยเหลือเยียวยานั้นทางภาครัฐเองได้มีนโยบายช่วยเหลือต่าง ๆ เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ครอบคลุมความช่วยเหลือ อย่างเช่น ค่าใช้จ่ายรายเดือน ค่าเดินทาง ค่าบริการสาธารณูปโภค รวมแล้วประมาณ 1,000 บาทต่อเดือน โดยมีข้อจำกัดบางประการจากทั้งข้อมูลทุติยภูมิ หรือข้อมูลปฐมภูมิจากการศึกษาของ USL เองก็สามารถพบช่องโหว่ของระบบการช่วยเหลือเยียวยาซึ่งส่งผลให้เกิดสภาวะผู้ประสบกับความยากจนในมิติการเงิน และซ้ำซ้อนกับการขาดต้นทุนต่างๆ ทั้งกายภาพ และสุขภาพนั้นตกสำรวจ และไม่ได้รับความช่วยเหลือ หรือแม้กระทั่งแหล่งทุนที่ได้รับการรับรองในระบบอย่างทันท่วงทีเป็นจำนวนพอสมควร แนวนโยบายที่ถูกนำเสนอ กลุ่มที่ 1 : รายได้ขั้นต่ำ หนึ่งในนโยบายที่สำคัญในด้านการเงินเลยนั้น คงจะขาดประเด็นค่าแรงมาตรฐานออกไปไม่ได้ เราได้เห็นสัดส่วนการเพิ่มขึ้นของค่าแรงพื้นฐานขึ้นไปไม่ว่าจะกว่าเท่าตัว หรือกว่าครึ่งหนึ่งของอัตราจ้างในปัจจุบัน ที่ประมาณ 300 บาท เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทภายใน 4 ปี หรือ ค่าแรงขั้นต่ำ 400 และ 450 บาททำได้ทันที รวมไปถึงฐานเงินเดือนกลุ่มอาชีพอาชีวะ หรือวุฒิการศึกษาระดับปริญญาตรีที่สูงขึ้นเช่นกัน สำหรับกลุ่มนโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้นส่งผลในแง่บวกกับการยกระดับความยากจนที่พอมีต้นทุนในชีวิตมิติอื่น ๆ แต่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต หรือมีความปลอดภัยมากพอ ด้วยสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมถึงมาตรฐานค่าแรงขั้นต่ำที่ไม่ได้ถูกปรับอย่างมีนัยยะสำคัญในรอบเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับต้นทุนอื่น ๆ ที่เพิ่มขึ้นนั้นสะท้อนถึงความจำเป็นในการปรับฐานค่าแรงให้สัมพันธ์กับค่าครองชีพที่แท้จริง ในทางอ้อมนั้นจากการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ สะท้อนให้เห็นว่าการปรับค่าแรงขั้นต่ำส่งผลต่อโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคในเชิงการเพิ่มขึ้นของต้นทุนของค่าครองชีพซึ่งต้องเป็นมีมาตรการอื่น ๆ ในการบริหารผลกระทบที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ดี แนวทางนโยบายการปรับค่าแรงขั้นต่ำนั้นจะไม่เข้าถึงกลุ่มแรงงานนอกระบบ คนจนที่ไม่ได้อยู่ในระบบแรงงาน หรือไร้ความสามารถในการทำงาน คนจนในกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็ก หรือเกษตรกร โดยส่วนมากในกลุ่มคนจนอยู่ยาก หรืออยู่ลำบากขาดต้นทุนหลากหลายมิติในการดำรงชีวิตและประกอบอาชีพ ซึ่งต้องการมาตรการอื่น ๆ ในการเพิ่มต้นทุนชีวิตในกลุ่มเฉพาะอาชีพ เช่น ประมง เกษตรกร หรือต้นทุนชีวิตในมิติอื่น ๆ ประกอบไปด้วยกันตามที่พรรคการเมืองหลากหลายพรรคได้นำเสนอไป แนวนโยบายที่ถูกนำเสนอ กลุ่มที่ 2 : ลดค่าครองชีพ การลดค่าครองชีพนั้นเป็นแนวนโยบายในการบรรเทาผลกระทบของเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง สวนทางกับต้นทุนค่าครองชีพต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นสวนทางกันเป็นอย่างมาก โดยนโยบายกลุ่มนี้เป็นที่ดึงดูดทั้งการแก้ไขในเชิงระบบนิเวศของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งพลังงาน การคมนาคม ของเศรษฐกิจโดยตรง หรือการใส่งบประมาณสนับสนุนชั่วคราวเพื่อบรรเทาต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นน้ำมัน เป็นต้น ในทางตรงนั้นการลดค่าครองชีพช่วยลดต้นทุนที่มีต่อภาระทางการเงินของกลุ่มคนตั้งแต่ที่มีความอยู่ดี แต่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น ไปจนถึงกลุ่มคนที่มีความยากจน แต่ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต มีความปลอดภัยมากพอ ตามแต่นโยบาย ในขณะที่ในบางนโยบายอย่าง เช่น การลดภาษีเป็นการช่วยบรรเทาภาระของกลุ่มคนในระดับอยู่ดี หรือกลุ่มคนที่มีรายรับแน่นอนแต่ไม่มาก และมีความมั่นคงในการงานในระดับหนึ่งอยู่แล้ว หนึ่งในแนวนโยบายการเยียวยาอย่าง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา รวมถึงนโยบายที่บางพรรคการเมืองมีการนำมาปรับงบประมาณสนับสนุน และโครงสร้างนั้น ยังคงมีกระบวนการในการเข้าถึงที่ยากลำบากกับกลุ่มคนเปราะบาง เช่น ผู้พิการ หรือผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประสบภัยความยากจนในระดับอยู่ยาก จนถึงอยู่ลำบาก การรับการเยียวยาที่มีต้นทุนทั้งการเดินทาง อุปกรณ์อิเล็คทรอนิคส์ การกระจายตัวและจำนวนที่น้อยของธุรกิจปลายทางที่ร่วมรายการ ส่งผลให้การช่วยเหลือเยียวยาขาดประสิทธิภาพ การตกสำรวจกลุ่มคนคนจนที่ประสบปัญหา และต้องการการช่วยเหลือเยียวยาโดยด่วน เช่น กลุ่มคนอยู่ลำบาก และอยู่ยาก ในขณะที่นโยบายอื่น ๆ ที่พุ่งเป้าในการลดค่าครองชีพนั้นก็มีแนวโน้มที่จะใช้ระบบโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเดิมอยู่ ซึ่งควรมีการปรับกระบวนการเพิ่มฐานข้อมูล สู่การใช้ฐานข้อมูลตามจริง และลดข้อจำกัดของผู้รับการช่วยเหลือให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มเป้าหมายที่การเยียวยาสามารถสร้างผลสัมฤทธิ์ได้สูงที่สุด แนวนโยบายที่ถูกนำเสนอ กลุ่มที่ 3 : เงินกู้ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำนั้น เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อช่วยเหลือประชาชน เป็นทางเลือกในการช่วยเหลือและยืดระยะเวลาการติดกับดักความยากจน ทั้งป้องกันหรือแก้ไขจากสถานการณ์การของวัฏจักรเงินทุนนอกระบบดอกเบี้ยสูง หรือการหยิบยืมระหว่างชุมชนที่ไม่ได้มีความมั่นคงทางการเงินสูงนัก นโยบายที่ทาง USL คิดว่าน่าสนใจได้แก่ การนำเสนอนโยบายในการพยายามจะตัดวงจรเงินกู้นอกระบบ ซึ่งมีความพยายามในการผลักดันอย่างต่อเนื่องในหลายรูปแบบ โดยเงินกู้นอกระบบ ในรูปแบบที่พบเจอมากเป็นลักษณะดอกเบี้ยสูง และเป็นต้นเหตุของวงจรความยากจน ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการที่ไม่สามารถเข้าถึง ในขณะเดียวกันก็มีนโยบายในการปรับมาตรฐานการประเมินให้มีลักษณะเอื้อประโยชน์ต่อผู้กู้มากขึ้น และการเข้าถึงเงินกู้ในระบบได้ง่ายขึ้น เช่น เงินกู้จากสถาบันการเงินต่าง ๆ ได้ โดยมีข้อเสนอในรูปแบบการจัดตั้งกองทุนชุมชน หรือการให้วงเงินผ่านธนาคารรัฐที่ลดข้อจำกัดในการเข้าถึงเงินทุนประมาณ 50,000 บาท หรือการยกเลิกเครดิตบูโร ในทางกลับกันนั้นก็มีข้อกังวลจากนักการเงิน และนักเศรษฐศาสตร์ถึงปัญหาหนี้เสียในระดับมหภาคมากขึ้น อีกกลุ่มนโยบายคือมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาลูกหนี้ในระบบ ให้ผ่านพ้นช่วงเศรษฐกิจตกต่ำในปัจจุบันไปได้ เช่น มาตรการการพักหนี้เป็นเวลา 3 ปี ในวงเงินประมาณหนึ่งล้านบาท มาตรการเหล่านี้เป็นมาตรการที่สามารถสนับสนุนกลุ่มคนอยู่ดีที่มีความสามารถในการตอบรับความเสี่ยง มีต้นทุนในมิติต่าง ๆ ที่มั่นคงในระดับหนึ่ง หรือกลุ่มคนที่มีความสามารถพออยู่ได้ และต้องการความช่วยเหลือเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์เฉพาะหน้าต่อไป ต้นทุนต่างๆ ที่กลุ่มคนเหล่านี้มียังแปรผันต่อจำนวนเงินในการกู้ยืม และความสามารถในการจ่ายคืนและต่อยอดจากเงินกู้ดังกล่าว แนวนโยบายที่ถูกนำเสนอ กลุ่มที่ 3 : เบี้ยช่วยเหลือ กลุ่มเงินช่วยเหลือนั้นมีความคล้ายคลึงกับความพยายามในการลดค่าครองชีพ และมีความเฉพาะเจาะจงต่อกลุ่มผู้รับเช่น กลุ่มคนพิการ และกลุ่มคนชรา หนึ่งในนโยบายที่หลายพรรคการเมืองนั้นได้มีการนำเสนอคือการปรับฐานเบี้ยคนพิการและคนชราเพิ่ม เป็น 3,000 บาท หรือ 10,000 บาท นโยบายการเพิ่มเงินช่วยเหลือเหล่านี้ตอบโจทย์โดยตรงต่อความยากจนในทุกระดับ โดยเฉพาะเป็นหนึ่งในกลุ่มนโยบายที่สามารถตอบโจทย์กับความยากจนในกลุ่มอยู่ยาก และอยู่ลำบากได้ดีในภาพรวม ซึ่งมีแนวโน้มเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ ขาดความสามารถในการเลี้ยงดูตัวเอง อย่างไรก็ดีข้อจำกัดต่าง ๆ ในประเด็นแบบเดียวกับกลุ่มนโยบายอื่น ๆ คือความครอบคลุมของการสำรวจ และการลงทะเบียนยังจะเป็นความท้าทายสำคัญในการทำให้นโยบายเบี้ยคนชรานี่ประสบผลสำเร็จ ในนโยบายของบางพรรคการเมืองยังมีการบังคับข้อจำกัดต่อการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยวัตถุประสงค์ในการสร้างเสริมสุขภาวะที่ดีของคนชรา แต่ในขณะเดียวกันการคัดกรองจากการเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ นั้นยังมีต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม กายภาพ สุขภาพ และการเงินตั้งต้นเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นการสร้างข้อจำกัดของกลุ่มคนอยู่ยาก และอยู่ลำบากในการได้รับสิทธิช่วยเหลือดังกล่าว บทสรุป โดยสรุปแล้ว แนวนโยบายต่าง ๆ ที่ข้องเกี่ยวกับต้นทุนทางการเงิน และความยากจนนั้น มีแนวทางที่นำเสนอทั้งการปรับโครงสร้างของรายได้ และรายจ่ายให้สัมพันธ์กับต้นทุนการใช้ชีวิตที่เป็นปัจจุบันมากขึ้น โดยแต่ละนโยบายนั้นมีผลกระทบ และความยั่งยืนของนโยบาย แตกต่างกันไปตามแต่วัตถุประสงค์ หนึ่งในประเด็นสำคัญของนโยบายต่าง ๆ ทีสะท้อนถึงการตกหล่น คือแนวทางการประยุกต์ใช้ในบริบทจริง ที่ยังไม่มีข้อเสนอนโยบายในการปรับรูปแบบที่สามารถตอบสนอง และช่องว่างที่ทำให้กลุ่มคนจนในระดับอยู่ลำบาก และอยู่ยากได้รับการช่วยเหลือไม่ทั่วถึง จะด้วยปัญหาที่สะท้อนไปไม่ถึง หรือด้วยกลุ่มประชากรที่ประสบปัญหานั้นมีจำนวนน้อย การเน้นใช้เทคโนโลยีในการเข้าช่วยเหลือนั้นดี และสามารถกระจายความช่วยเหลือไปได้ในวงกว้างมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มที่จะผลักกลุ่มที่เปราะบางที่สุด มีต้นทุนน้อยที่สุดให้หลุดออกจากกรอบการช่วยเหลือด้วยเช่นกัน การคิดถึงรูปแบบการจัดกระจายการเยียวยา ช่วยเหลือ การเข้าถึงแหล่งงาน เส้นทางการรับเงินช่วยเหลือ ที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งผ่านระบบดิจิทัล และการเข้าถึงผ่านเครือข่ายชุมชน สังคมต่างๆ รวมไปถึงนโยบายที่ผลักดันให้เกิดการพิสูจน์และ ขึ้นทะเบียนบุคคลต่าง ๆ จะช่วยส่งเสริมให้การออกแบบนโยบาย สามารถกระทำและส่งผลได้อย่างตรงจุดมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีแนวทางที่น่าสนใจในการนำมาพิจารณา จำพวก รายได้พื้นฐานถ้วนหน้า (Universal Basic Income) ซึ่งลดโอกาสของการตกหล่นได้มากขึ้น แต่ก็มีต้นทุนและผลกระทบในระบบโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่สูงเช่นกัน อย่างไรก็ดี ทั้งหมดนี้เป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ของทางทีม USL โดยมีเจตนาที่จะนำเกร็ดความรู้ในการค้นคว้า รวมไปถึงข้อค้นพบในงานวิจัยจากโครงการการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ กรุงเทพมหานคร เพื่อสะท้อนมุมมองต่อนโยบายในสนามการเลือกตั้งครั้งนี้ สุดท้ายนี้ USL จึงอยากขอเชิญชวนให้ทุกคนร่วมออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ตั้งแต่เวลา 8.00 - 17.00 น. ร่วมกำหนดอนาคตของพวกเราไปด้วยกันอย่างเสมอภาค

  • ข้อสรุปการดำเนินกิจกรรมจากการมีส่วนร่วมระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ในการเสนอโครงการการพัฒนาพื้นที่คลอง

    จากการจัดทำกิจกรรมการสร้างความร่วมมือในการจัดทำงบประมาณอย่างมีส่วนร่วมในพื้นที่เขตรอบคลองผดุงกรุงเกษม 6 เขต ประกอบไปด้วย เขตดุสิต เขตพระนคร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตบางรัก และเขตปทุมวัน ผ่านกิจกรรมต่างๆ ทั้งกิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) สำหรับข้าราชการรุ่นใหม่ แก่เจ้าหน้าที่ของสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กรุงเทพมหานครและสำนักงานเขตรอบคลองผดุงกรุงเกษมในการมีส่วนร่วมต่อการเสนอความคิดเห็นในการเสนอโครงการ และพัฒนาโครงการของภาครัฐ จนนำไปสู่ข้อสรุป และการจัดกิจกรรมเวทีข้อเสนอโครงการของชุมชน: พื้นที่ทดลองรอบคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะ และความคิดเห็นที่ชุมชนมีต่อโครงการต้นแบบที่เขตพื้นที่รอบคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อเป็นการสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และชุมชน ด้านความต้องการและแนวทางในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบคลองผดุงกรุงเกษม และ จากการดำเนินกิจกรรมทั้ง 6 เขตนั้น สามารถสรุปถึงแนวทาง และความต้องการในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบคลองผดุงกรุงเกษมที่มีร่วมกันในอนาคต โดยสามารถแบ่งระยะการพัฒนาโครงการเป็น 3 โดยพิจารณาจากลำดับความสำคัญ ความเร่งด่วนของความต้องการในการพัฒนาพื้นที่ และความเป็นไปได้ในการพัฒนาพื้นที่ในอนาคต โครงการที่สามารถทำได้เลย และมีผลกระทบต่อพื้นที่และประชาชนในวงกว้าง จากกิจกรรมที่เปิดให้ตัวแทนจากภาครัฐ และตัวแทนจากชุมชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นถึงโครงการการพัฒนาพื้นที่โดยรอบคลองผดุงกรุงเกษมจากหน่วยงานภาครัฐ จนถึงการแสดงความคิดเห็น และปัญหาในพื้นที่โดยโดยรอบคลองผดุงกรุงเกษมที่ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน สามารถสรุปออกมาเป็นการพัฒนาในระยะแรก ที่ส่งผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนในวงกว้างซึ่งสามารถแบ่งประเภทของการพัฒนาเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ 1. ความปลอดภัย : การติดกล้องวงจรปิด การติดไฟส่องสว่างในพื้นที่ และการปรับปรุงเรื่องทางม้าลาย เพื่อความปลอดภัยของคนสัญจรทางเท้า 2. โครงสร้างพื้นฐาน : การปรับปรุงทางเดินเท้าให้มีคุณภาพ และเพิ่มทางจักรยานมีความต่อเนื่องกัน ตลอดทั้งแนว การปรับปรุงภูมิทัศน์คลอง และพัฒนาพื้นที่สาธารณะริมคลองให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ด้านเศรษฐกิจ และวัฒนธรรม : การจัดทำพื้นที่ค้าขายสินค้าของพื้นที่ เช่น การจัดตลาดนัด และการจัดทำกิจกรรมทักษะอาชีพ โครงการที่ต่อยอดจากกรพัฒนาในระยะแรก โดยเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพของพื้นที่ จากการแสดงความคิดเห็นจากตัวแทนชุมชน และตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐถึงความต้องการในระยะแรกในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบคลองผดุงกรุงเกษม ได้มีการแสดงความคิดเห็นถึงสิ่งที่ควรพัฒนาต่อยอดหากมีการพัฒนาโครงการ ในระยะแรกเพื่อให้พื้นที่คลองผดุงกรุงเกษมมีประสิทธิภาพในการใช้งานทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และความปลอดภัยในพื้นที่ โดยระยนี้สามารถแบ่งประเภทของความต้องการในการพัฒนาออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1 .ด้านโครงสร้างพื้นฐาน เน้นการพัฒนาด้านภูมิทัศน์จากการพัฒนาในระยะแรก และเพิ่มกิจกรรมในพื้นที่สาธารณะในพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาแล้ว และส่งเสริมให้พื้นที่สามารถเข้าถึงได้ด้วยกลุ่มคนทุกกลุ่ม และมีพื้นที่รองรับยานพาหนะทั้งรถยนต์ และจักรยาน สำหรับคนที่ข้ามาทำกิจกรรมในพื้นที่ 2. ด้านศิลปวัฒนธรรม การส่งเสริมการใช้พื้นที่สาธารณะในเชิงวัฒนะรรม เช่น การจัดให้มีการแสดงงานศิลปวัฒนธรรมของพื้นที่ในช่วงงานเทศกาลต่างๆ และการจัดงานค้าขายสินค้า ศิลปะ และอาหารที่เป็นที่ขึ้นชื่อของแต่ละชุมชนโดยรอบคลอง ตลอดจนถึงการจัดทำการท่องเที่ยวในชุมชนโดยรอบคลองผดุงกรุงเกษม โครงการการพัฒนาเชื่อมต่อพื้นที่คลองกับย่านโดยรอบผ่านกิจกรรมต่างๆ ความคิดเห็นในการพัฒนาพื้นที่โดยรอบคลองผดุงกรุงเกษมในระยะสุดท้ายจากการสรุปจากการดำเนินกิจกรรมโครงการฯนั้นเน้นไปที่การเชื่อมต่อพื้นที่คลองกับย่านโดยรอบ ไปจนถึงในระดับเมืองเพื่อให้คลองผดุงกรุงเกษมเป็นพื้นที่ที่คนจากพื้นที่ต่างๆสามารถเข้ามาทำกิจกรรม พักผ่อน และท่องเที่ยวในพื้นที่ โดยจากข้อสรุปจากการดำเนินกิจกรรมนั้นเห็นว่า การพัฒนาพื้นที่โดยรอบคลองผดุงกรุงเกษมเพื่อเชื่อมต่อกับพื้นที่รอบข้างจะต้องมีการพัฒนาทางด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลักไม่ว่าจะเป็น การคมนาคมทางการเดินเท้าริมคลอง เส้นทางจักรยาน การเชื่อมต่อกับขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์ และ เรือคลองผดุงกรุงเกษม ให้สามารถเดินทางเชื่อมต่อกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นการพัฒนาส่งเสริมสถานที่ท่องเที่ยวโดยรอบคลองผดุงกรุงเกษมในทั้ง 6 เขต ที่มีความหลากหลายทางด้านสังคม และวัฒนธรรมมาเป็นแผนในการกระตุ้นการท่องเที่ยว และโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ จะทำให้การเดินทางในพื้นที่มีความน่าดึงดูด และสามารถเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และพื้นที่การเดินทางที่สำคัญในระดับเมืองของกรุงเทพมหานครได้ต่อไป

  • ภาพรวมความก้าวหน้าของโครงการ SEA

    จากสถานการณ์ของการแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่ผ่านมานั้นเราได้เห็นถึงความยากลำบากในการเข้าถึงของกลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และความยากลำบากในการใช้ชีวิตภายใต้สภาวะวิกฤต โดยเฉพาะในกลุ่มคนเปราะบางภายในพื้นที่ชุมชน URBAN STUDIES LAB จึงได้เล็งเห็นความสำคัญในการเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงของเจ้าหน้าที่อาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร กับกลุ่มคนเปราะบางในพื้นที่ชุมชน จึงคิดหาวิธีการในการเพิ่มศักยภาพของกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุข เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนเปราะบางในชุมชน อีกทั้งการส่งต่อชุดข้อมูลไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้สามารถส่งต่อความช่วยเหลือของกลุ่มคนเปราะบางในชุมชนได้ง่ายยิ่งขึ้น สามารถทำให้การเข้าถึงของกลุ่มเจ้าหน้าที่ต่าง ๆ ที่จะเข้ามาสามารถเข้าถึงพื้นที่ได้ถูกต้อง และแม่นยำมากยิ่งขึ้น ทาง URBAN STUDIES LAB จึงพัฒนาแบบสำรวจเพื่อที่จะทราบถึงประเด็นปัญหาที่สมาชิกในชุมชนนั้นได้รับผลกระทบ และความต้องการทั้งในสภาวะเร่งด่วน ตลอดจนการต่อยอดไปสู่การสร้างนโยบาย และโครงการต่อยอดในอนาคต ส่วนที่ 1 การสำรวจข้อมูลสำรวจความต้องการ และการต่อยอดเพื่อช่วยเหลือชุมชนในระยาว จากการสำรวจความต้องการของชุมชนใน 3 ชุมชนภายในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายถึงผลกระทบที่ได้รับในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ถึงสิ่งที่ต้องการและความช่วยเหลือที่ต้องการที่จะได้รับในสภาวะเร่งด่วน และความต้องการระยะยาวในอนาคต เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบาย และจัดทำโครงการต่อยอดที่เหมาะสมกับความต้องการของคนในพื้นที่ชุมชนทั้ง 3 ชุมชน ความต้องการและความช่วยเหลือของคนในชุมชนในสภาวะเร่งด่วนที่กลุ่มคนในชุมชนนั้นมีความต้องการมากที่สุดนั้นคือ เรื่องของการเงินซึ่งส่งผลกระทบมากที่สุดในกลุ่มคนทุกชุมชน เพราะในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 นั้น กลุ่มคนในชุมชนถูกเลิกจ้างเป็นจำนวนมาก และไม่มีสวัสดิการรองรับทำให้พบสภาวะปัญหาทางด้านการเงินที่จะดำรงชีพในชีวิตประจำวัน และรองลงมาคือด้านอาหารที่คนในชุมชนนั้นขาดแคลนอาหารจากการขาดรายได้ ทำให้ไม่มีเงินมากพอในการซื้ออาหารเพื่อการดำรงชีวิตในช่วงวิกฤตที่เกิดขึ้น จากการสำรวจความต้องการ และความช่วยเหลือของคนในชุมชนในระยะยาวกลุ่มคนในชุมชนนั้น มีความต้องการมากที่สุดนั้นคือ เรื่องของการจ้างงานและทักษะอาชีพ รองลงมาคือด้านการเงิน ซึ่งสองสิ่งนี้เป็นปัญหาหลักที่สามารถพบเจอในกลุ่มชุมชน หรือกกล่าวง่าย ๆ ว่า “ไม่มีงาน ไม่มีเงิน” ซึ่งการออกนโยบายและหาทางแก้ไขที่เหมาะสมจะสามารถแก้ปัญหาทั้งสองอย่างนี้ไปพร้อมกันได้อย่างยั่งยืน โครงการต่อยอดจากการสำรวจความต้องการด้านอาชีพของกลุ่มคนในชุมชนจาก อสส จากที่ URBAN STUDIES LAB ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนเปราะบางในชุมชนแออัด ซึ่งเผชิญหน้ากับความยากลำบากในทุกแง่มุม โดยการศึกษานี้นั้น มีพื้นที่นำร่องการศึกษาในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร ได้ทำการสำรวจถึงความต้องการและความช่วยเหลือในข้างต้น นำมาสู่การต่อยอดโครงการที่จะสร้างความยั่งยืนทางด้านการทักษะอาชีพ และการจ้างงานให้กับคนในพื้นที่ชุมชนแขวงวัดโสมนัส กลุ่ม อสส มีบทบาทอย่างมากในการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานภายนอกและกลุ่มคนในชุมชน กระทั่งการสอบถามถึงความต้องการเร่งด่วนที่ต้องการในช่วงเวลาวิกฤตที่กำลังเผชิยอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นการแก้ปัญหาจำเป็นจะต้องเป็นการแก้ปัญหาระยะยาวและยั่งยืนต่อกลุ่มคน ชุมชน และสังคม การแก้ปัญหาที่ยั่งยืน ไม่ใช่การหยิบยื่นเงินเพื่อประทังชีวิตไปในระยะเวลาไม่กี่วัน แต่ควรเป็นการสร้างรายได้ทางหนึ่งให้กับกลุ่มคนเพื่อใช้ในการจับจ่ายใช้สอยได้อย่างต่อเนื่องและไม่เดือดร้อน ซึ่งหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจที่เป็นการต่อยอดความต้องการ ซึ่งสามารถนำไปสู่การผลักดันนโยบายที่สามารถทำได้จริงนั้น เป็นโครงการที่ผลักดันให้คนในชุมชนนั้นเกิดอาชีพ นั้นคือ “โครงการสร้างอาชีพจากธนาคารขยะในชุมชนนางเลิ้ง NANG-LEONG PLASTIC BANK” โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าชุมชนจากธนาคารขยะ ซึ่งเป็นโครงการต่อย่อจาก NANG-LEONG PLASTIC BANK จุดเริ่มต้นโดย WEAVE ARTISAN ผู้เป็นสื่อกลางในการทำงานกับชุมชน พัฒนาขยะพลาสติกให้กลายเป็น ผืนผ้าใบกันสาด โดยการสนับสนุนจาก BRITISH COUNCIL เป็นโครงการซึ่งทาง URBAN STUDIES LAB ได้เล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ในการต่อยอด เพื่อให้คนในชุมชนสามารถนำขยะที่อยู่รอบตัวในพื้นที่ชุมชนมาสร้างสรรค์ผลงาน และสร้างอาชีพให้กับตนเองได้ โครงการไม่เพียงแต่ที่จะเน้นการสร้างรายได้ และการนำขยะมาหมุนเวียน แปรรูปเป็นสินค้าและผลิตภัณฑ์ แต่ยังเป็นการสร้างความร่วมมือของคนในชุมชนให้เข้ามามีบทบาทในการสร้างผลงานให้กับตนเอง อีกทั้งยังเป็นการสร้างกิจกรรมในละแวกย่านและชุมชน เพิ่มพื้นที่ทางสังคมให้กับคนในชุมชนในช่วงเวลาการเพร่ระบาดของโควิด 19 ที่มีการจำกัดการเดินทาง และการจำกัดบริเวณ อีกทั้งเป็นการต่อยอดทางเศรษฐกิจ สร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายจากขยะในพื้นที่ชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่ดีซึ่งน ามาสู่การจัดทำ “โครงการพัฒนาศักยภาพการผลิตสินค้าชุมชน จากธนาคารขยะ” เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาศึกษา (กสศ) และ ศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชน และสิ่งแวดล้อม (FREC BANGKOK) ที่ให้การสนับสนุนพื้นที่ อุปกรณ์ และบุคคลากรในการจัดกิจกรรม เพื่อชุมชน หลังสิ้นสุดโครงการ NANG-LEONG PLASTIC BANK ชุมชนสามารถต่อยอด และพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยผลิตภัณฑ์ของชุมชนนั้นถูกนำไปจัดแสดงในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 1. งานจัดแสดงของ BRITISH COUNCIL 2. งานเสวนาของ SCHOLAR FOR SUSTENANCE THAILAND ภายใต้หัวข้อ ZERO SUMMIT “REGERNARATIVE AND RECOVERY FUTURE” 3. CHIANGMAI DESIGN WEEK ส่วนที่ 2 การสำรวจข้อมูลด้านสุขภาพในชุมชนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถของกลุ่ม อสส และการทำข้อมูลปิด นอกจากในการสำรวจความต้องการในสภาวะการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 แล้ว ทางโครงการได้มีการ ทำงานร่วมกับศูนย์บริการสาธารณสุข 20 และสำนักอนามัย ในการเก็บข้อมูลด้านสุขภาพของคนในชุมชนมัสยิดมหานาค เพื่อนำข้อมูลที่เก็บได้มาประมวลผลเชิงพื้นที่ และนำเสนอเป็นข้อมูลเปิด เพื่อง่ายต่อการส่งต่อข้อมูลไปยังหน่วยงานรัฐอื่น ๆ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่จะสามารถเข้ามาในพื้นที่ชุมชนได้ยังถูกต้องและแม่นยำ จากข้อมูลด้านสุขภาพในชุมชนที่ได้ทำการเก็บรวบรวมและประมวลผลเชิงพื้นที่ออกมา นอกจากนั้นยังนำไปสู่การออกแบบนโยบายทางด้านสุขภาพที่ยืดหยุ่นในอนาคต เพื่อส่งเสริมให้คนในชุมชนมีสุขภาพที่ดี และสามารถ เข้าถึงบริการทางด้านสาธารณสุขได้ง่ายยิ่งขึ้น ปลายทางของการดำเนินโครงการ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกกับชุมชน โดยใช้ ข้อมูลเป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์ ตัดสินใจ และวางแผนดำเนินงาน โดยข้อมูลเหล่านี้ทาง URBAN STUDIES LAB ยินดีแลกเปลี่ยนให้ข้อมูลกับหน่วยงานที่สนใจ ทั้งนี้จะยังคงปฎิบัติตามกฎหมายป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)

  • "Urban Learning Day" ในงาน Bangkok Design Week 2023

    จบไปแล้วสำหรับกิจกรรม “Urban Learning Day” ในงาน Bangkok Design Week 2023 ระหว่างวันที่ 4 - 12 กุมภาพันธ์ 2566 ภายใต้ธีมงาน Urban’NICE’zation หรือ เมือง-มิตร-ดี ซึ่งประกอบไปด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย ทางศูนย์วิจัยชุมชนเมืองขอขอบคุณผู้ร่วมกิจกรรมทุกท่านที่มาร่วมเปิดประสบการณ์ด้วยกันในครั้งนี้ และหวังว่าจะได้พบกันในกิจกรรมครั้งต่อไป Urban Learning Day เป็นการจัดกิจกรรมถ่ายทอดแนวคิดและองค์ความรู้จากโครงการ “เมืองแห่งการเรียนรู้ย่านคลองผดุงกรุงเกษม” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิจัยหัวข้อ Learning City ภายใต้การสนับสนุนของหน่วยงานบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) โดยมีจุดประสงค์สําคัญเพื่อเชื่อมโยงย่านและผู้คน ผ่านพื้นที่แห่งการเรียนรู้รอบคลองผดุงกรุงเกษม ด้วยกระบวนการมีส่วนรวมและการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ประสบการณ์ จากภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และ ภาคการศึกษา โดยใช้พื้นที่แห่งการเรียนรู้ให้เกิดการความเข้าใจและสร้างประสบการณ์ในการสํารวจอัตลักษณ์ จุดเด่น ปัญหา ผู้คนภายในย่านคลองผดุงกรุงเกษม เพื่อรวมกันระบุประเด็นปัญหา แนวทางการปฏิบัติผ่านกลไก ห้องเรียนมีชีวิต (Living Lab Model) และนําไปสู่การพัฒนาเครื่องมือหรือแนวทางพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน โดยเป้าหมาย ของโครงการเพื่อวิเคราะหข้อมูลในการพัฒนาและจัดเก็บใน Project Bank เพื่อการต่อยอดและการเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ Urban Studies Lab ร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ จึงมีความตั้งใจจัดกิจกรรม Urban Learning Day ในช่วง Bangkok Design Week เพื่อนำเสนอผลการศึกษา เครื่องมือ วิธีการ เครือข่ายที่ได้จากการทำงานวิจัย “เมืองแห่งการเรียนรู้ย่านคลองผดุงกรุงเกษม” เพื่อเน้นย้ำให้เห็นความพยายามในการส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และบทบาทของความร่วมมือระหว่างภาคประชาชน ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคการศึกษาในการร่วมผลักดันแนวทางการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน Urban Learning Day คือ นิทรรศการ และ การแสดงผลงานควบคู่ไปกับกิจกรรมอื่น ๆ ที่สะท้อนความเชื่อมโยงกันระหว่างมิติของผู้คนและพื้นที่คลองผดุงกรุงเกษมและบริเวณโดยรอบ ผ่านการนำเครืองมือที่ใช้ในการมีส่วนร่วมกับชุมชนมาสร้างให้เกิดความเข้าใจถึงการจัดทำงบประมาณแบบมีส่วนร่วมหรือที่เรียกว่า Participatory Budgeting (PB) โดยกิจกรรมดังกล่าวจะนำผู้คนมาทำความรู้จักกับกลไกการมีส่วนร่วมผ่านการใช้เทคนิค Gamification และ Human-Centered Design เป็นแนวคิดมาปรับใช้กับการเก็บข้อมูลปัญหาและความต้องการของคนในพื้นที่ด้วยการใช้ PB Board Game เป็นเครื่องมือเพื่อสื่อสารการทำงานแบบมีส่วนร่วม ในขณะเดียวกันกิจกรรมนี้จะช่วยสะท้อนถึงความสำคัญงานของออกแบบและงานสร้างสรรค์ในการขับเคลื่อนการพัฒนาพื้นที่กรุงเทพฯ ตามเจตนารมณ์ของงาน Bangkok Design Week และสอดแทรกแนวคิดการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาเมืองอีกด้วย กิจกรรมเดินชมย่าน (Community and City Walk) จัดขึ้นในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งพาผู้ร่วมกิจกรรมทุกท่านไปรู้จักอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสถานีรถไฟหัวลำโพง เดินชมงานศิลปะและพูดคุยถึงประวัติความเป็นมาของชุมชนวัดดวงแข ตบท้ายด้วยการเยี่ยมชมมัสยิดและกุโบร์ที่ใหญ่ที่สุดในไทยที่ชุมชนมัสยิดหานาค กิจกรรมเกมก่อร่างสร้างเมือง (PB Boardgame) เพื่อจำลองการมีส่วนร่วมของพลเมืองผ่านการสวมบทบาทเป็นตัวละครต่าง ๆ เช่น เจ้าหน้าที่รัฐ นักธุรกิจ คนไร้บ้านและนักศึกษาจบใหม่ (First jobber) ในการตัดสินใจการใช้งบประมาณของรัฐและเสนอไอเดียในการพัฒนาเมืองตามบทบาทที่ตัวเองได้รับ นิทรรศการ “Urban Classroom Exhibition” เป็นการแสดงผลงานออกแบบของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นการออกแบบผ่านการลงพื้นที่จริงและแก้ไขปัญหาตามบริบทพื้นที่ ตั้งแต่ย่านเทเวศร์ จนถึงย่านตลาดน้อย ภายใต้โจทย์ “เมืองแห่งการเรียนรู้ย่านคลองผดุงกรุงเกษม” โดยทุกผลงานจะถูกนำมาเก็บเป็นธนาคารโครงการ (Project bank) เพื่อเป็นฐานข้อมูลให้ภาครัฐสู่การพัฒนาพื้นที่จริงในอนาคต กิจกรรมเวทีเสวนาในหัวข้อ “คนรุ่นใหม่กับการพัฒนาเมือง: โอกาสและความท้าทายในการสร้างสรรค์เมืองแห่งการเรียนรู้ย่านคลองผดุงกรุงเกษม” (New Generation Urban Changemakers and User-Generated City Mini Forum) ในวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2566 โดยได้รับเกียรติจากท่านรองฯ ผู้ว่าศานนท์ หวังสร้างบุญ มาร่วมเวทีเสวนากับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ได้แก่ ตัวแทนนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ มหาวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตัวแทนนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ และตัวแทนจากกลุ่มเยาวชนริทัศน์บางกอก ภายในกิจกรรมมีการแลกเปลี่ยนมุมมองของคนรุ่นใหม่ต่อแนวทางการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาเมือง รวมถึงภาพรวมการพัฒนาเมือง ทั้งเชิงนโยบายและงบประมาณ

  • เคี้ยวเพลิน คุยมัน เที่ยวนางเลิ้ง แจกพัน!

    กิจกรรม “เคี้ยวเพลิน คุยมัน เที่ยวนางเลิ้ง แจกพัน!” เมื่อวันเสาร์ที่ 10 ธันวาคมที่ผ่านมา กับผู้เข้าร่วมกว่า 30 คน ได้ชิม ได้เที่ยว และพบปะพูดคุยกับผู้ประกอบการร้านค้าอาหารต่างๆมากกว่า 30 แห่งในย่านนางเลิ้ง . กิจกรรมดังกล่าวเกิดจากเป้าหมายในการสร้างภาพจำ และความเข้าใจต่ออัตลักษณ์ของย่านนางเลิ้้งที่กำลังเผชิญกับความท้าทายเปลี่ยนแปลงของพื้นที่เมือง โดยชวนคนชอบเที่ยว ชอบกินมาเปิดหมุดย่านนางเลิ้ง ลิ้มรสชาติอันหลากหลายของอาหาร และอัตลักษณ์ของธุรกิจอาหารต่างๆ ภายในย่านตั้งแต่เช้ายันค่ำ . นอกจากนั้น ผู้เข้าร่วมทั้ง 30 คน ยังสวมหมวกนักสำรวจ พูดคุยกับผู้ประกอบการของร้านอาหารต่างๆ ถึงเรื่องราว ความเป็นมาของแต่ละร้านตลอดเวลาที่อยู่ในย่านนางเลิ้ง ทั้งยังได้ทำความเข้าใจถึงความท้าทาย ประสบการณ์การปรับตัว และความหวังของคนนางเลิ้งที่ยังคงอัตลักษณ์ และเรื่องราวของศิลปะ วัฒนธรรมและรสชาติที่หลากหลายของย่านต่อไปในภายภาคหน้า . โดยข้อมูลและภาพต่างๆที่ได้จากการสำรวจนี้ ทาง Urban Studies LabUrban Studies Lab จะนำมาพัฒนารูปแบบการสื่อสารในการเล่าเรื่องราวของย่านนางเลิ้ง เพื่อจัดแสดงระหว่างช่วงเทศกาล Bangkok Design Weekระหว่างวันที่ 4 - 12 กุมภาพันธ์ 2023 เชิญชวนให้ผู้มาเยี่ยมเยือนได้ทำความรู้จักกับย่านนางเลิ้งให้มากยิ่งขึ้น เข้าถึงคนนางเลิ้งมากขึ้น . Urban Studies Lab ต้องขอขอบคุณผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากิน มาเที่ยว และผู้ประกอบการทุกท่านที่สละเวลามาเล่าเรื่องราวของย่าน ของร้านของแต่ละคน เติมรสชาติให้กับอาหารอร่อยๆ หลากหลายแห่งภายในย่าน และหวังว่าเราจะได้ร่วมสนุก และเรียนรู้เกี่ยวกับคนและเมืองของเรากันอีกครั้งหนึ่ง

  • WORLD FOOD DAY 2022

    วันที่ 16 ตุลาคม หรือวันอาหารโลก ปัจจุบันปัญหาขยะอาหาร (Food waste) นั้นเป็นประเด็นที่ทั้งโลกกำลังตระหนักถึง 1 ใน 3 ของอาหารที่เราบริโภคนั้น ถูกทิ้งเป็นขยะอาหารทั้งที่เรายังสามารถกินได้* ซึ่งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดปัญหาขยะอาหารที่ทั่วโลกกำลังเผชิญในปัจจุบัน การลดปริมาณขยะจากอาหารนั้น เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของโลกที่ทั่วโลกต้องร่วมกันแก้ปัญหา และเป็นหนึ่งในเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals ;SDGs) เมื่อมองลึกลงไปถึงขยะอาหารที่เกิดขึ้นนั้น แท้จริงแล้วเราสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนที่เป็นขยะที่เหลือจากการบริโภคแล้ว ซึ่งเป็นส่วนที่จะต้องได้รับการกำจัดอย่างถูกวิธี และอีกส่วนที่ผู้คนอาจจะมองข้ามไปในบางครั้ง “อาหารส่วนเกิน (Surplus Food)” คืออาหารที่เกินจากความต้องการในการบริโภคของพวกเรา และยังสามารถบริโภคได้ เพียงแต่เราเลือกที่จะทิ้งมันไป เช่น ผลผลิตที่มีหน้าตาไม่สวยงาม วัตถุดิบที่ตัดแต่งนำไปใช้บางส่วน เป็นต้น หากเราสามารถที่จะนำอาหารส่วนเกินนี้มาบริโภคได้ เราจะสามารถช่วยกันลดขยะจากอาหารได้ มูลนิธิรักษ์อาหาร (Scholars of Sustenance Thailand) เป็นหนึ่งในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการจัดการอาหารส่วนเกินในเมือง โดยได้ร่วมมือกับหลากหลายภาคส่วน ทั้งเอกชน ห้างร้าน ภาครัฐ โดยมูลนิธิมีกระบวนการ Food rescue รับบริจาคอาหารส่วนเกินที่ยังคุณภาพดีจากที่ต่าง ๆ ทั้งภัตตาคาร ร้านค้าสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ซุปเปอร์มาร์เก็ต ทั่วกรุงเทพฯ เพื่อนำมาแจกจ่ายแก่ผู้ที่ต้องการแต่ไม่สามารถเข้าถึงอาหารได้ตามชุมชน จัดตั้งโครงการ “ครัวรักษ์อาหาร” โดยผู้คนในชุมชนร่วมแรงร่วมใจกันนำวัตถุดิบจากอาหารส่วนเกินที่ได้มารังสรรค์เป็นมื้ออาหารมื้อใหญ่ ที่สามารถอิ่ม อร่อย สะอาด ถูกหลักโภชนาการ กันได้ทั้งชุมชน ถือเป็นโครงการปรุงโดยชุมชนเพื่อคนในชุมชน จนถึงปัจจุบันนี้ มูลนิธิได้ส่งต่ออาหารส่วนเกินไปแล้วกว่า 2 ล้านกิโลกรัมหรือคิดเป็น 8.7 ล้านมื้อ ให้แก่ชุมชนต่าง ๆ 426 แห่ง ซึ่งเท่ากับว่าเราได้ลดการสร้างก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการนำอาหารไปฝังกลบถึง 3.9 ล้านกิโลกรัม มูลนิธิยังเปิดรับอาสาสมัคร นักเรียน นักศึกษา หรือบุคคลทั่วไป ที่สนใจในเรื่องการจัดการขยะอาหาร และอาหารส่วนเกินในเมือง สามารถเข้าร่วมกิจกรรมและโครงการดี ๆ จากทางมูลนิธิได้ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://th.scholarsofsustenance.org/sos-thailand FB PAGE : Scholars of Sustenance Thailand - SOS Thailand

  • ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU)

    ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ (สำนัก 9) ในวันที่ 28 กันยายน 2565 ณ ห้อง 302 ชั้น 3 อาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรุงเทพมหานคร เพื่อแลกเปลี่ยนฐานข้อมูลและร่วมกันแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพของประชากรกลุ่มเปราะบาง . ดร.พงษ์พิศิษฐ์ หุยากรณ์ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับนางภรณี ภู่ประเสริฐ ตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนัก 9 ตัวแทนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) . เพื่อสร้างความร่วมมือในการพัฒนาระบบฐานข้อมูลของประชากรและฐานข้อมูลสุขภาพ ซึ่งเป็นฐานข้อมูลเปิดซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถแบ่งปันข้อมูลและใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ (data sharing ) ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (reduce data redundancy) สู่การวิเคราะห์ความเปราะบางในระดับพื้นที่ ทำให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้โดยตรง และร่วมหาแนวทางพัฒนานโยบายสาธารณะสำหรับชุมชนเมืองยืดหยุ่น . โดยได้รับเกียรติจากนายจิรัฏฐ์ ม้าไว ตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายสาวศรินพร พุ่มมณี ตัวแทนจากบริษัท ปั้นเมือง จำกัด นายอนรรฆ พิทักษ์ธานิน ตำแหน่ง ผู้จัดการแผนงานพัฒนาองค์ความรู้และประสานยุทธศาสตร์ เพื่อการสร้างเสริมสุขภาวะคนไร้บ้าน ผศ.ดร.ธานี ชัยวัฒน์ ตัวแทนจากคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์พิณ อุดมเจริญชัยกิจ ตำแหน่ง เลขาธิการศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว และแลกเปลี่ยนแนวทางการทำงานร่วมกันในอนาคต่อไป

bottom of page