top of page

เมื่อสรรพสัตว์เป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง(ความเป็น)เมือง 🐘🐃🐂🐉

Updated: 4 hours ago


เคยตั้งข้อสังเกตกันบ้างไหม ว่าชื่อบ้านนามเมือง หรือสถานที่ต่าง ๆ ของกรุงเทพมหานครเต็มไปด้วยภูมินาม ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์อยู่หลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นป้ายบอกทาง สะพาน คูคลอง ตรอกซอกซอย ศาสนสถาน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือในเชิงเรื่องเล่า ตำนานปรำปรามากมาย อย่างน้อยจะต้องมีชื่อสัตว์ต่าง ๆ  เช่น ช้าง ม้า โค กระบือ นาค ลิง สุกร หนู ไก่ ฯลฯ สารพัดสัตว์ที่นับไม่ถ้วน  มิติหนึ่งสัตว์เหล่านี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ทางกายภาพและเชิงวัตถุที่สัมพันธ์กับสังคมมนุษย์ในทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่สัมพันธ์กับสังคมเมือง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ในสถานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อ การอุปโภคบริโภค ในฐานะแรงงานของมนุษย์ การคมนาคม การกีฬา ไปจนถึงคุณค่าที่มีส่วนต่อการจัดการสิ่งแวดล้อม 


ความสำคัญของสัตว์ต่าง ๆ มีมาอย่างน้อยตั้งแต่สังคมรัฐจารีตที่มนุษย์เริ่มก่อร่างสร้างบ้านแปงเมือง  กระทั่งเข้าสู่รัฐสมัยใหม่ในช่วงที่มนุษย์สัมพันธ์กับเศรษฐกิจและสังคมของโลกมากขึ้น เราจึงจะเห็นบทบาทของสัตว์ที่เป็นทั้งสัตว์ประจำถิ่น สัตว์ที่เคลื่อนย้ายมาพร้อมกับผู้คนจากแผ่นดินอื่น รวมทั้งเป็นไปในเชิงปฏิสัมพันธ์ร่วมระหว่างสัตว์กับมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าสัตว์กับมนุษย์แทบจะแยกขาดออกจากกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าบริบทการเปลี่ยนแปลงจะทำให้ความสำคัญของสัตว์กับพื้นที่เปลี่ยนไปอย่างไร แต่สัตว์เหล่านี้ยังคงปรากฎอยู่ในฐานะ “สัญญะ” เชิงความสัมพันธ์ที่แสดงออกผ่านพื้นที่ ผู้คน และสังคมไทย ดังนั้น กรุงเทพฯ นอกจากจะมีความหลากหลายทางผู้คนแล้ว ในแง่หนึ่งจะพบว่า ความหลากหลายของนิเวศของสัตว์จึงเป็นอีกจุดเด่นสำคัญอย่างหนึ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงต่อการศึกษาและทำความเข้าใจความเป็นเมืองของกรุงเทพฯ ได้


ในที่นี้ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง(Urban studies lab) อยากจะชวนทุกคนออกไปสำรวจภูมินามสัตว์🧐ผ่านประเด็นสำคัญ 2 ประเด็น คือ ภาพกว้างภูมินามสัตว์ที่อยู่ในย่านพระนครและพื้นที่ใกล้เคียง มีภูมินามสัตว์อยู่บริเวณใดในพื้นที่แห่งนี้บ้าง ส่วนที่สองจะพาไปออกสำรวจย่านนางเลิ้งและพื้นที่ใกล้เคียงว่าในย่านแห่งนี้ มีภูมินามสัตว์ผ่านบริบททั้งการมีอยู่ การเปลี่ยนแปลง หรือหายไปหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกันอยากจะชวนทุกคนลองคอมเมนต์ภูมินามสัตว์ในชุมชนเมืองกรุงเทพฯ ที่น่าสนใจ ผ่านเรื่องราว เกร็ดความรู้ ตำนาน นิทานที่เกี่ยวกับสัตว์ที่ปรากฎอยู่ในพระนครให้พวกเราฟังเล็ก ๆ น้อย ๆ เรามาลองสำรวจสรรพสัตว์ เพื่อสร้างภูมิสัตว์บางกอกไปด้วยกัน✨😁


สำรวจภูมิ(นาม)สัตว์ : ข้อสังเกต บริบท หน้าที่ของสัตว์กับสังคมเมืองกรุงเทพฯ เบื้องต้น

กว่าจะเป็นกรุงเทพฯ ในทุกวันนี้ นักวิชาการได้ทำการศึกษาสภาพพื้นที่ของกรุงเทพฯ ในอดีต เดิมหลายพันปี พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นทะเลโคลนตมมาก่อน ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยามาในภายหลัง หลักฐานสำคัญคือการค้นพบซากปลาวาฬที่ตั้งอยู่บริเวณพระราชวังเดิม ตลอดจนล่วงเข้าสู่ยุคก่อร่างเป็นเมืองบางกอก พื้นที่ทางฝั่งธนบุรีในช่วงสมัยอยุธยาตอนต้น ในวรรณกรรมเก่าเเก่เรื่องโคลงกำสรวลสมุทร ปรากฎภูมินามอย่างชื่อบางระมาด ซึ่งนักวิชาการให้ความเห็นว่า “ระมาด” หมายถึง  แรด ที่คงมีชุกชุมอยู่บริเวณนั้น กระทั่งเมื่อมีการตั้งราชธานีใหม่ในช่วง ธนบุรี - ต้นรัตนโกสินทร์ ความเป็นอยุธยายังคงสืบเนื่อง โดยเพาะในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์นั้น  มีการสร้างภูเขาทอง-ขุดคลองมหานาค หรือคติการวางผังเมืองที่ใช้สัตว์มงคลอย่างนาค มากำหนดการสร้างบ้านแปงเมืองด้วยคตินาคนามตามตำราพิชัยสงคราม 


จากที่กล่าวมาในเบื้องต้น เป็นการปูพื้นคร่าว ๆ ของร่องรอยของความสำคัญของพื้นที่ที่มีสัตว์เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ไม่มากก็น้อย โดยหากมองในพื้นที่ของกรุงเทพฯ จะพบว่า มีภูมินามสัตว์อยู่มากมาย ซึ่งทีมงานได้แบ่งกลุ่มสัตว์ต่าง  ๆ คร่าว ๆ ออกเป็น 3 กลุ่มหลัก โดยใช้เกณฑ์การแบ่งจากสถานะ ความสำคัญของสัตว์ที่ปรากฎผ่านภูมินาม สถานที่ ความเชื่อ เรื่องเล่า ของกรุงเทพฯมีตัวอย่างดังนี้



นี่อาจจะเป็นเพียงตัวอย่างสั้น ๆ ที่พอจะอนุมานถึงความสำคัญของพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง ที่มีเรื่องราวที่สัมพันธ์กับสัตว์อย่างปฏิเสธไม่ได้ โดยสัตว์เหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งของการก่อร่างสร้างความเป็นกรุงเทพฯ  ที่มาพร้อมกับสัญลักษณ์ทางตำนาน ความเชื่อ  ขณะที่อีกด้านหนึ่งสัตว์บางชนิดมีความสัมพันธ์และความสำคัญทางเศรษฐกิจ กิจกรรมของมนุษย์ ตลอดจนเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมของเมือง กระทั่งเมื่อมนุษย์เป็นผู้กำหนดความเป็นไปของเมือง จึงทำให้สัตว์ที่เคยได้รับความสำคัญค่อย ๆ ลดบทบาท ความสำคัญ ตลอดจนผลของการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของเมือง สิ่งเหล่านี้จึงเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องเล่าความเป็นเมือง ทีมงานจะลองสำรวจพื้นที่ที่มีภูมินามเกี่ยวกับสัตว์ โดยหยิบยกตัวอย่างสัตว์ที่อยู่ในพื้นที่ย่านนางเลิ้งและพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเป็นแนวทางของการทำความเข้าใจ บนฐานของบริบทของการเปลี่ยนแปลง ว่าสัตว์เหล่านี้สำคัญกับเมืองอย่างไร มีปัจจัยใดที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสัตว์เหล่านี้


มองย่านนางเลิ้งและใกล้เคียงผ่านภูมิ(นาม)สัตว์ 

ree

ย่านนางเลิ้งเป็นย่านที่มีความสำคัญในฐานะพื้นที่ฟากตะวันออกของพระนคร เป็นพื้นที่ที่มีผู้คนหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์อาศัย ทั้งยังเป็นพื้นที่ของกลุ่มแรงงานช่างฝีมือ พื้นที่ของกลุ่มละคร และพัฒนามาสู่ย่านการค้าพาณิชย์ พื้นที่พักอาศัยของกลุ่มเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และพื้นที่ของพระคลังข้างที่ที่มีการพัฒนา มาสู่ย่านที่มีชาวจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษม ต่อเนื่องมาจนเข้าสู่ช่วงที่การพัฒนาพื้นที่สำคัญอย่างการตัดถนนราชดำเนินและการสร้างพระราชวังสวนดุสิต ที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ยังผลให้เกิดการพัฒนา 


ก่อนการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ ย่านนางเลิ้งและพื้นที่ใกล้เคียง ก่อนการขุดคลองผดุงกรุงเกษมและการพัฒนาพระราชวังสวนดุสิต พื้นที่แห่งนี้เดิมเป็นทุ่ง นา ป่า ไร่  มีบรรดาสัตว์ต่าง ๆ ที่เข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับพื้นที่อย่าง วัว ควาย ช้าง ค่อยๆเลือนหายไป และการมาใหม่ของกลุ่มคนจีน ที่นำเอาสัตว์อย่าง หมู ไก่ เป็ด มาเลี้ยงในย่าน  ขณะเดียวกันแร้งในฐานะห่วงโซ่ของการจัดการซากศพก็ลดลงเมื่อรัฐกำหนดการจัดการศพขึ้นใหม่ให้ถูกสุขอนามัยบนฐานคิดความศิวิไลซ์ ก็ทำให้สัตว์เหล่านี้เหลือเพียงตำนานและภาพถ่าย  ขณะเดียวกันเมื่อสยามผูกสัมพันธ์กับโลกตะวันตกกีฬาสำคัญอย่างการแข่งม้าก็ได้รับอิทธิพลจนมาสู่ส่วนหนึ่งของการเป็นสนามม้านางเลิ้ง 


ทั้งหมดนี้ เราจึงจะพาทุกคนออกไปสำรวจพื้นที่แต่ละที่ในย่านนางเลิ้งและพื้นที่ใกล้เคียงว่ามีพื้นที่กับสัตว์มีความเป็นมาอย่างไร  ปัจจัยใดที่ทำให้พื้นสัตว์เหล่านี้มีการปลี่ยนแปลงบ้าง เช่น  มลภาวะทางอากาศและกลิ่นที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนไปของเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสนธิสัญญาเบาริง เมื่อสยามเข้าสู่สนามการค้ากับตะวันตก และผลของการจัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพฯ ในปี 2440 ยังผลให้สัตว์หลายชนิดต้องเปลี่ยนแปลงและหายไปในที่สุด


  1. มหานาค : จากชื่อคูคลอง สู่ ถนน – สะพานย่านป้อมปราบศัตรูพ่าย

ree

หากเอ่ยถึงมหานาค อาจจะนึกถึงคลองที่ขุดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์โดยแรงงานชาวเขมร เชื่อมระหว่างคลองโอ่งอ่างกับคลองแสนแสบเข้าด้วยกัน หรือมหานาคบุคคลสำคัญในทางประวัติศาสตร์ที่สร้างค่ายคูบริเวณทุ่งภูเขาทอง กรุงเก่า(อยุธยา) 


ด้านหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าหากแปลกันตรงตัวจะพบว่า ชื่อ “มหานาค” หรือ “พญานาค” แปลกันตรงตัวคือ “งูใหญ่” หรือในทางปีนักษัตร คือ “ปีมะโรง”  ซึ่งนอกจากจะเป็นชื่อคลอง ยังเกี่ยวข้องกับ สะพานเจริญราษฎร์ 32  สะพานที่ข้ามคลองมหานาค บนถนนกรุงเกษมมาตั้งแต่ปี 2455 สมัยรัชกาลที่ 6 ปรากฎปฏิมากรรมพญานาคแผ่พังพาน บนสะพาน ซึ่งเป็นปีประจำนักษัตรของพระองค์นั่นเอง 


นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่มักรู้จักมหานาค ในชื่อคลองสายหลัก เวลาเมื่อต้องนั่งเรือผ่านคลองมหานาคหรือรู้จักกันโดยทั่วไปว่าคลองแสนแสบ อันที่จริงยังมีคลองสายเล็ก ๆ อีกเส้นหนึ่ง คือ “คลองจุลนาค” ลำคลองเล็ก ๆ ที่แยกตัวออกมาจากจากคลองมหานาค หรือชื่อโรงเรียนของเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี อย่าง “โรงเรียนสตรีจุลนาค” หากมีนาคตัวใหญ่ เรียกว่ามหานาค ส่วนนาคตัวเล็ก ก็เรียกว่า “จุลนาค” ขณะเดียวกัน บริเวณฝั่งทิศใต้ของบริเวณคลองมหานาค บริเวณชุมชนมัสยิดมหานาค ไปจรดถนนบำรุงเมือง มีชื่อถนน ซอย ที่ตั้งชื่อที่มีความหมายถึงพญานาค อาทิ ถนนนาคราช ถนนภุชงค์ ถนนอนันตนาค ถนนโภคี หรือการมีศาลพญานาค บริเวณหน้าบริเวณโรงพยาบาลกรุงเทพ บำรุงเมือง จึงสัมพันธ์กับความเชื่อ ความศรัทธา และคุณค่าที่มีต่อพญานาค


สำหรับนาคถือว่าเป็นงูใหญ่ กว่างูทั้งปวง มักปรากฎอยู่ในนิทาน ตำนานปรัมปราทั่วไป อาจเป็นสัตว์ที่มีนัยความหมายของการนับถือของกลุ่มชนที่ให้ความสำคัญกับงู  ในกรณีของสังคมไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นสัตว์ที่ได้รับการเคารพบูชาผ่านความเชื่อ ประเพณี พิธีกรรมของลัทธิของคนพื้นเมืองดั้งเดิม อาทิ ในลุ่มน้ำโขง รวมทั้งกลุ่มคนตระกูลไต - ไท รวมทั้งความสัมพันธ์กับศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์ ที่ปรากฎการเคารพบูชางูใหญ่หรือพญานาค ในฐานะเทพที่สัมพันธ์กับสายน้ำ ความเชื่อทางศาสนา และศรัทธาที่เชื่อมโยงกับผู้คนในยุคปัจจุบันที่สรรสร้างให้นาคเป็นเทพเจ้าหนึ่งที่บรรดาลโชคลาภ ความเชื่อต่าง ๆ ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมาอย่างยาวนาน


แม้ความเป็นนาค อาจจะมีความหมายใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาในระยะหลัง แต่สิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วเป็นชื่อที่สัมพันธ์กับพญานาค ในฐานะสัตว์มงคล ที่แสดงออกถึงความอุดมสมบูรณ์ คูคลอง หรือนัยยะหนึ่ง ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่านอกจากชื่อมหานาคจะหมายถึงชื่อสัตว์โดยตรง แต่ในเเง่หนึ่ง มหานาค อาจจะสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธ์ุของคนลุ่มน้ำโขง ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณคลองมหานาคมาตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในฐานะแรงงานของพระนคร ที่ได้ตั้งถิ่นฐาน และมีหลักฐานของกลุ่มคนที่สัมพันธ์กับนาคในลุ่มน้ำโขง อย่างกลุ่มเขมร ลาว จาม โดยมีหลักฐานของชุมชนของกลุ่มคนเหล่านี้ ตั้งเเต่ย่านนางเลิ้ง ภูเขาทอง บ้านดอกไม้ บ้านครัว วัดปทุมวนาราม ไปจนถึงบริเวณวัดมักกะสัน



  1. ทุ่งสนามควาย : คาราวาน ท้องทุ่ง นอกกรุงพระนคร

ree

เอกสารเก่าในช่วงรัชกาลที่ 5 ระบุชื่อพื้นที่นางเลิ้งเดิม เรียกว่า “ตำบลสนามกระบือ” ริมวัดแค


ในอดีตบริเวณฟากตะวันออกของพระนคร เป็นพื้นที่ทุ่งหญ้าเหมาะเเก่การเลี้ยงสัตว์ และเป็นพื้นที่ของกองคารวานของผู้คนต่างเมืองที่มาชุมนุมอยู่ทางฟากตะวันออก อย่าง โค กระบือ และทุ่งเลี้ยงช้างหลวง มาตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ รู้จักกันในชื่อว่า ย่านสนามควาย หรือ สนามกระบือ อย่างน้อยปรากฎหลักฐานในพระราชพงศาวดารสมัยรัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์(ขำ บุนนาค) เรียกแถบนี้ว่า “สนามกระบือ” เรื่อยมาจนถึงช่วงของการเปลี่ยนผ่านมาสู่ตลาดนางเลิ้ง เอกสารเก่ายังคงเรียกย่านนี้ว่า “สนามควาย” “สนามกระบือ” ผ่านชื่อย่าน ถนน เขตปกครอง ก่อนที่ชื่อของคำว่านางเลิ้งจะเป็นชื่อหลักที่ถูกใช้แทนที่ของชื่อสนามควาย ในช่วงที่ย่านนางเลิ้งเปลี่ยนผ่านจากย่านทุ่ง นา ป่า ไร่ มาเป็นย่านที่ถูกพัฒนามาเป็นตลาดและพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ และบ้านเจ้าขุนมูลนายในภายหลัง 


เราไม่อาจทราบได้ว่า ควายในที่นี้เป็นควายที่มีที่มาจากแหล่งใด แต่อาจจะอนุมานตามพื้นที่ที่บริเวณนี้สัมพันธ์กับพื้นที่ทุ่ง และยังเป็นสนามโค - กระบือ ก่อนที่จะเข้าสู่ตัวประตู- กำแพงเมืองพระนครบริเวณที่จะข้ามไปสู่ป้อมมหากาฬ  ไม่ไกลกันมีพื้นที่ของการเลี้ยงวัว อย่างกรณีของแยกคอกวัว ที่ตั้งไม่ไกลกับสนามควาย ดังปรากฏในวรรณคดีเรื่องละเด่นลันได  มีแขกเลี้ยงวัว ขณะเดียวกัน “กระบือ” นอกจากจะปรากฎชื่อนี้ในย่านนางเลิ้งแล้ว ยังมีพื้นที่อื่น ๆ ที่อยู่ในย่านพระนครและพื้นที่ใกล้เคียงที่น่าจะสัมพันธ์กับคารวานที่เป็นชื่อ อย่างเช่น สะพานควาย(เขตพญาไท) บางกระบือ(เขตสามเสน) หัวกระบือ(เขตบางขุนเทียน)


ด้านหนึ่งอาณาบริเวณของทุ่งสนามควาย ยังต่อเนื่องยังไปพื้นที่ของทุ่งส้มป่อย และทุ่งพญาไท ในอดีตบริเวณนี้ ได้ถูกกำหนดให้เป็นพื้นที่จัดพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ หรือทุ่งสำหรับประกอบพิธีเสี่ยงทายเพื่อทำนายเรื่องความอุดมสมบูรณ์ทางการเกษตรผ่านพิธีของพราหมณ์ โดยเชื่อว่าพระโคคือพาหนะของพระศิวะหรืออิศวร จึงต้องจัดตกแต่งเเละเลี้ยงดูพระโคที่จะเข้าพิธีเป็นอย่างดี ในทุ่งดังกล่าว จึงจะต้องนำ โคออกทำนาย ในปัจจุบัน พระราชพิธีดังกล่าวยังคงมีธรรมเนียมอยู่ในพื้นที่ของพระราชวังสวนดุสิต โดยเฉพาะบริเวณสวนจิตรลดา ได้เป็นพื้นที่นาทดลองสำหรับเพาะพันธุ์ข้าว ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า แม้พระราชพิธีในปัจจุบันจะจัดขึ้นที่ท้องสนามหลวงมาอย่างสืบเนื่อง แต่กลิ่นอายหรือความสำคัญในเเง่พื้นที่ดั้งเดิมของการจัดพระราชพิธีที่เคยมีมาในบริเวณทุ่งส้มป่อย ก็คงความสำคัญในฐานะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์และการกำหนดให้เป็นพื้นที่พิธีกรรมที่สัมพันธ์กับโค กระบือ มาโดยเสมอ 


เมื่อเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้เข้ามาแทนที่การคมนาคมและการใช้เเรงงานจากสัตว์ในการทำเกษตรกรรม จึงทำให้บรรดาวัว - ควายที่เคยทำหน้าที่เป็นยานพาหนะ คารวานกองเกวียน หรือการทำไร่ไถนา ถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร และยานยนต์ที่รวดเร็วและตอบสนองต่อเศรษฐกิจสังคมสมัยใหม่มากกว่า จึงทำให้สัตว์เหล่านี้ถูกลดความสำคัญลง ขณะเดียวกันสัตว์บางชนิดอย่างโคที่ใกล้เคียงกับกระบือ ก็ถูกนำมาใช้ในฐานะสัตว์สัตว์ในพิธีกรรม ดังเห็นในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นต้น 


  1. บ้านตะลุง กับทุ่งเลี้ยงช้างหลวงที่หายไปในย่านนางเลิ้ง

ree

ภาพสันนิษฐาน เพนียดคล้องช้าง กรุงเก่า อยุธยา จะเห็นเสาตะลุงที่ปักอยู่ล้อมในเพนียด ซึ่งสอดรับกับที่มาของบ้านตะลุง แห่งทุ่งสนามควาย (นางเลิ้ง) ที่ครั้งหนึ่งเคยมีการเลี้ยงช้างหลวงบริเวณนี้ 

(ภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)


ในอดีตฟากตะวันออกออกพระนคร ยังเป็นทุ่งเลี้ยงช้างหลวงที่สำคัญ ขณะเดียวกันตำแหน่งของทุ่งสนามควายหรือบริเวณนางเลิ้ง อยู่ไม่ไกลกับตำแหน่งประตูที่เหล่าบรรดาช้างและเกวียนของผู้คนจากเมืองนครนายก ปราจีนบุรีจะเข้าออกประตูเมืองพระนคร โดยเฉพาะบริเวณที่เรียกว่าสะพานผ่านฟ้าลีลาศหรือตำแหน่งประตูพฤฒิบาศ เปนตำแหน่งเข้าออกของช้างและเกวียนที่จะข้ามคลองรอบกรุงและเลียบกำแพงเมืองเข้าสู่ถนนบำรุงเมืองตรงแยกประตูผี(สำราญราษฎร์)  มุ่งตรงไปยังตลาดเสาชิงช้า ข้ามคลองคูเมืองเมืองตรงสะพานช้างโรงสีและมายังพระบรมมหาราชวังต่อไป ซึ่งบริเวณไม่ไกลกันมีท่าช้างวังหลวง และท่าช้างวังหน้าซึ่งปัจจุบันเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ท่าพระ” นั่นเอง


ย้อนกลับไปในช่วงที่ยังไม่เกิดตลาดนางเลิ้งอย่างเป็นทางการพื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่ปล่อยช้างหลวงให้สามารถหากินได้อย่างอิสระ(ซึ่งหมายรวมถึงพื้นที่ต่อเนื่องมากับตลาดนางเลิ้งในปัจจุบัน) ดังในปี 2442 พระคลังข้างที่ได้สอบสวนทวนความที่ดินริมวัดเเคที่จะมีการสร้างตลาดนางเลิ้งว่า เดิมทีพื้นที่แถบนี้เป็นพื้นที่ปล่อยให้ช้างหลวงออกหากิน ในเอกสารเก่าระบุว่า

”ที่วัดเเคทุ่งปล่อยช้างบัตนี้เปนตลาดนางเลิ้ง” 


ภายหลังจึงปรับพื้นที่มาเป็นแปลงสวนผักและผลไม้ สลับกับทุ่งนา ที่สำคัญคือ เคยมีสวนกาแฟที่อยู่บริเวณพื้นที่ของตลาดนางเลิ้ง และพื้นที่สวนอื่น ๆ ที่อยู่ค่อนมาทางถนนตัดใหม่(ถนนนครสวรรค์ในปัจจุบัน) ดังในแผนที่สอบสวนที่หลวง ในปี 2438 ว่ามีที่สวนหลายแปลง อาทิ ที่สวนหลวงอภัยพิทักษ์ สวนวัดเเค สวนอำเเดงจับ สวนวัดโสมนัส ฯลฯ


หากกล่าวถึงชะตากรรมของช้าง อาจจะไม่ต่างจากพวกโค กระบือ เท่าใดนัก เพราะช้างในอดีต เป็นทั้งสัตว์ที่เป็นแรงงาน เป็นพาหนะการเดินทาง รวมทั้งสัตว์ทางความเชื่อสำคัญของสังคมไทย จึงทำให้ช้าง ที่เคยอยู่บริเวณย่านนางเลิ้ง ค่อย ๆ เลือนลางลงไป และแทบจะไม่ได้อยู่ในความทรงจำของผู้คนนางเลิ้งเท่าใดนัก แต่ครั้งหนึ่งพวกมันคมีความสำคัญอย่างมากต่อคนในพื้นที่ เพราะครั้งหนึ่งย่านนางเลิ้งมีชุมชนที่เรียกว่า “บ้านตะลุง” ศูนย์กลางชุมชนอยู่บริเวณละแวกวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค นางเลิ้ง) ซึ่งมีข้อมูลเชิงประจักษ์ว่าเป็นกลุ่มคนจากปักษ์ใต้จากนครศรีธรรมราช สงขลา และพัทลุง ขณะเดียวกันอาจเป็นไปได้ไหมว่า “ตะลุง” อาจจะมาจาก “เสาตะลุง” ที่เอาไว้ล่ามช้าง ที่สัมพันธ์กับกลุ่มคนที่เลี้ยงช้างบริเวณนี้ด้วยหรือไม่


  1. คอกสุกร -  ตรอกไก่วัดแค  : ร่องรอยการมีอยู่และการหายไป ในสังคมคนจีนเลี้ยง ไก่ เป็ด หมู

ree

บริเวณนี้มีที่ตั้งของวัดสำคัญคือวัดคอกหมู หรือวัดสิตารามเป็นศูนย์กลางของชุมชน เชื่อกันว่าสร้างขึ้นในปี 2340 โดยเจ้ากรมยิ้ม ที่ได้มีการชักชวนบรรดาชาวจีนที่อาศัยและเลี้ยงหมูอยู่ในละแวกวัดร่วมกันสร้างวัดดังกล่าวขึ้น จึงเรียกกันโดยทั่วไปว่าวัดคอกหมู ภายหลังสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรม พระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปลี่ยนชื่อวัดใหม่เป็นวัดสิตาราม ให้สอดคล้องกับคนสร้างวัดคือเจ้ากรมยิ้ม ที่หมายถึงคำว่า “สิต” มาสนธิกับคำว่า “อาราม” จึงกลายเป็นสิตาราม ซึ่งหมายความว่าเป็นวัดของเจ้ากรมยิ้ม  


ขณะเดียวกันในปี 2438 พื้นที่แห่งนี้ยังระบุว่าเป็น “เดิมเป็นคอกสุกร” จึงเรียกว่า “บ้านสุกร” และหลักฐานของหอจดหมายเหตุในปี 2447 - 2448 ระบุว่าพื้นที่ใกล้ตึกดินกับทางวัดเเคที่ค่อนมาทางวัดคอกหมูว่า “ที่หลวง เล้าสุกรเปดไก่” ซึ่งพื้นที่ของบ้านคอกสุกร นอกจากจะเป็นที่เลี้ยงหมูแล้ว ในอดีต พื้นที่แห่งนี้ยังเป็นที่ตั้งของวังของเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ โรงเรือ ทั้งยังเป็นแหล่งค้าขายโรงไม้โดยเฉพาะของกลุ่มจีนไหหลำ ในเวลาต่อมา รวมทั้งเป็นที่อยู่ของกลุ่มมุสลิมที่ตั้งอยู่สองฟากฝั่งคลองมหานาค 

ในพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ยังมีพื้นที่ที่มีภูมินามที่เกี่ยวข้องกับสุกร ที่สำคัญอาทิ อนุสาวรีย์หมู - สะพานปีกุน (เขตพระนคร) ซอยสุกร(ตรอกโรงหมู) วัดอัปสรสวรรค์(วัดหมู) ฝั่งธนบุรี ด้านหนึ่งฟากตรงข้ามวัดสิตาราม ที่กั้นด้วยถนนหลานหลวง บริเวณหลังวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค นางเลิ้ง) ยังปรากฎชื่อซอย “ตรอกไก่” โดยในอดีตเป็นพื้นที่ที่ชาวจีนย่านตลาดนางเลิ้ง - หลังวัดสุนทรธรรมทานอาศัย เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ สำหรับอุปโภคและบริโภคในครัวเรือน 


การหายไปของหมู คาดการว่า อาจจะเกิดขึ้นเมื่อเมืองมีการขยายตัว พร้อมๆ กับการที่รัฐเริ่มกำหนดสุขาภิบาลด้านความสะอาด ขึ้นในทศวรรษ 2440  มีกำหนดพื้นที่ที่เลี้ยงหมูใหม่ ขณะเดียวกันสิ่งปฏิกูลอย่างกลิ่นของอุจจาระหมู ได้สร้างความรำคาญให้กับคนโดยทั่วไป ดังนั้น การโยกย้ายการเลี้ยงหมู จึงต้องออกไปอยู่บริเวณชานพระนคร หรือพื้นที่ที่ห่างไกลชุมชน เพื่อที่จะไม่ให้ก่อความรบกวนทางกลิ่นกับมนุษย์


  1. สนามม้านางเลิ้ง :  วัฒนธรรมกีฬาและการพนัน กับความบันเทิงใหม่ ในช่วงสยามยุคเปลี่ยนผ่าน

ree

ภาพการแข่งขันม้าที่สนามม้านางเลิ้ง ในปี 2508  (ภาพจาก : หอจดหมายเหตุแห่งชาติ )

สนามม้านางเลิ้ง เริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 2459 โดยพระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์ สำหรับเป็นพื้นที่ในการเลี้ยงและเพาะพันธุ์ม้าที่ได้สั่งมาจากอังกฤษ อาหรับ และออสเตรเลีย ในช่วงที่ชนชั้นนำไทยรับอิทธิพลวัฒนธรรมการแข่งขันกีฬาม้า ภายหลังความนิยมของการแข่งขันเริ่มมากขึ้น จนกลายมาเป็นการพนันประเภทหนึ่ง ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงสนามม้านางเลิ้งมาเป็นสวนสาธารณะที่กำลังเกิดขึ้นใหม่ในเร็ว ๆ นี้ 


ในด้านหนึ่งฟากตะวันออกบริเวณถนนราชดำริ มีการสร้างถนนและจัดตั้งสมาคมสำหรับส่งเสริมการเพาะพันธุ์ม้าและกีฬาที่เกี่ยวข้องกับม้า ที่รู้จักกันในชื่อว่า “Royal Bangkok Sport Club” (RBSC) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ราชกรีฑาสโมสร” เป็นพื้นที่สังสรรค์ของกลุ่มชนชั้นนำหลากหลายประเภท ทั้ง กอล์ฟ ม้าแข่ง คริกเกต และรักบี้ เป็นต้น


ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของสนามม้าได้มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่มาสู่การเป็นสวนสาธารณะที่จะเปิดตัวขึ้นในเร็ว ๆ นี้ ในชื่อ “อุทยานเฉลิมพระเกียรติฯ รัชกาลที่ 9” ถึงแม้ว่าชื่อของสนามม้านางเลิ้ง หรือราชตฤณมัยจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่ยังทันในยุคสนามม้า ก็ยังคงเรียกชื่อสนามแห่งนี้ว่าสนามม้ามาเช่นเดิม


  1. แร้งวัดสระเกศ : ความสยดสยองและการจัดการซากศพของคนกรุง

ree

“...เหนือศรีษะขึ้นไปมีฝูงนกกา ซึ่งจะมีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ต่อไปมาจับกันอยู่ดำมืด อีกพวกหนึ่งบินกันเป็นวงอยู่เหนือศรีษะคนแบกศพคือฝูงแร้ง พวกนกกาที่เกาะอยู่ตามต้นไม้ต่างก็กระพือปีกพึ่บพั่บและส่งเสียงร้องเซ็งแซ่…”


จากบันทึกของคาร์ล บ็อค (Carl Bock) นักธรรมชาติวิทยาชาวนอร์เวย์ที่เข้ามาศึกษาภูมิศาสตร์ในสยาม ช่วงปี 2424 แสดงให้เห็นถึงบรรยากาศของฝูงแร้ง ฝูงกา ที่บินว่อนอยู่เหนือป่าช้าวัดสระเกศ

ในอดีตบริเวณวัดสระเกศหรือวัดสะแก ถือว่าเป็นพื้นที่เผาศพสำคัญของพระนคร เนื่องด้วยตำแหน่งที่ตั้งของวัดอยู่บริเวณนอกคูเมือง - กำเเพงเมืองพระนคร บริเวณที่อยู่ตรงประตูผี ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญของการนำศพจาพระนครออกมาเผา เช่นเดียวกับตำแหน่งการนำศพออกมาตามจุดต่าง ๆ อาทิ ทางทิศเหนือบริเวณวัดสังเวช(วัดบางลำพู) ทางทิศใต้บริเวณวัดบพิธภิมุข(วัดเชิงเลน) และวัดปทุมคงคา ร่วมกับทางวัดสระเกศทางด้านตะวันออกตรงตำแหน่งประตูผี(ประตูสำราญราษฎร์) 


การมีอยู่ของแร้ง ที่ปรากฎภูมินามบริเวณวัดสระเกศแห่งนี้ อาจกล่าวได้ว่า แร้งคือตัวแทนของสัตว์ที่ทำหน้าที่ในการจัดการซากศพของพระนคร ในช่วงที่รัฐสยามกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านการจัดการเมืองเข้าสู่สมัยใหม่ ก่อนที่ระบบการจัดการศพหรือระบอบ “ความสยดสยอง” จะถูกลดและทดแทนด้วยการใช้ระบบการเผาศพที่ไม่อุจาดตา กับการมาของการจัดการสุขาภิบาล ความสะอาดที่รัฐเริ่มตระหนักและคำนึงถึงความสำคัญนี้ การตระหนักถึงแนวคิดความศิวิไลซ์ ขณะเดียวกันก็มีการแบ่งชนชั้นของเมรุ  “เมรุปูนสำหรับผู้ดี เมรุแร้งสำหรับศพสามัญ


ความสำคัญของแร้งได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กวีหญิงสำคัญอย่างคุณสุวรรณ ได้แต่งวรรณกรรมเรื่อง อุณรุทร้อยเรื่อง โดยสอดแทรกนิทานคำกลอนเรื่อง “พญาแร้งวัดสระเกศ” ที่กล่าวถึงการทำสงครามต่อสู่ของพญาแร้งกับพญานกตะกรุม ดังความตอนหนึ่งในเนื่อเรื่องที่ว่า 


“ปางพระจอมจักรพงศ์ดำรงแร้ง   ประจักษ์แจ้ง…นกกระสา    ดีพระทัยดังหนึ่งได้ครองพารา  พระราชาตรัสสั่งเสนาใน ว่าบัดนี้เราจะไปประพาสป่า   จงจัดแจงโยธาเป็นทัพใหญ่   ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้บาตรหมายไป แต่ในรุ่งสุริยาเวลาดี”


ในช่วงรัชกาลที่ 5 มีภาพที่ปรากฎการชำแหละซากศพ ขึ้นที่วัดสระเกศ ด้วยอีแร้ง อีกา ที่เข้ามารุมแทะศพ อย่างสยดสยอง ซึ่งการจัดการซากศพเหล่านี้ มีสัตว์ต่าง ๆ ที่มารุมกินซากศพเหล่านี้ นอกจากอีแร้งเเล้ว ยังมีสัตว์อื่นๆ ที่ทำหน้าที่ในการจัดการศพมารุมทึ้ง อย่างเช่น อีกา สุนัข โดยเฉพาะความสยดสยองของสัตว์ ด้านหนึ่งคนสยามมีความเชื่อว่า การปลงศพโดยให้บรรดาสัตว์จิกกินรุมทึ้งเหล่านี้ ถือเป็นการที่ผู้ตายได้อุทิศเนื้อของตนให้เป็นทานแก่แร้งกากิน ซึ่งไม่เพียงแต่วัดสระเกศเท่านั้น แต่บรรดาวัดที่มีซากศพก็จะมีลักษณะแบบนี้อยู่ทั่วไป ขณะเดียวกันการจัดการซากศพโดยให้แร้งจิกกัดโดยเฉพาะศพของชนชั้นคนยากไร้และเหล่าบรรดานักโทษ 


ส่วนที่มาของแร้งวัดสระเกศนั้น มาจากการผูกคำคล้องจองของคนโบราณ ที่มักผูกโยงสิ่งสำคัญในพื้นที่ให้มีความคล้องจองขึ้น กล่าวคือ “ยักษ์วัดแจ้ง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์” ที่กลายเป็นสำนวนติดปาก และสร้างภาพจำให้กับพื้นที่แห่งนี้มาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงของเมือง โดยเฉพาะความเชื่อเรื่องสัตว์อวมงคล ไม่ว่าจะเป็นแร้ง นกแสก ได้นำมาสู่ความเชื่อที่เปลี่ยนแปลงไป พร้อมๆการจัดการจนนำมาสู่การลดลงของประชากรของแร้ง พร้อมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเมือง โดยการจัดการซากศพ การคำนึงถึงสุขลักษณะ  การป้องกันเชื้อโรคและแนวคิดเรื่องความศิวิไลซ์ ที่ทำให้แร้งต้องมีอันเปลี่ยนแปลงไป และเหลือไว้เพียงตำนานคู่กับพื้นที่วัดสระเกศ


บทสรุป : เมื่อสัตว์เป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างคนกับเมือง

ree

กล่าวโดยสรุป  แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันในระบบนิเวศสังคมและผู้คนของเมืองมาอย่างช้านาน  เป็นทั้งสัตว์ที่ให้คุณค่า ในฐานะสัตว์ทางด้านความเชื่อ สัตว์ในฐานะคุณค่าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ถูกแสดงออกในเชิงสัญลักษณ์ความสำคัญ โดยเฉพาะสัตว์ในกรุงเทพฯ และหมายรวมถึงตัวอย่างของย่านนางเลิ้งและพื้นที่ใกล้เคียง พบว่าภูมินามสัตว์ มีพัฒนาการและการเปลี่ยนแปลงที่ควบคู่กับการเปลี่ยนไปของเมืองอยู่เสมอ ตั้งแต่ยุคการก่อร่างการสร้างกรุงเทพฯ ถูกผูกโยงกับความเชื่อ ความศรัทธา สัญลักษณ์ทางอำนาจ และภายใต้ระบบความรู้สึก เช่น นาค ช้าง แร้ง ในขณะเดียวกันสัตว์จำพวก กระบือ ก็มาพร้อมกับการเคลื่อนย้ายของผู้คน จากเมืองสู่ศูนย์กลางอำนาจ หรือการติดต่อสัมพันธ์กับโลกตะวันตกผ่านความสนใจจนนำมาสู่เกมกีฬาอย่างม้าแข่ง และเมื่อสังคมกรุงเทพฯเต็มไปด้วยคนจีน ทำให้สัตว์อย่างสุกร เป็ด ไก่ จึงถูกเคลื่อนย้ายมาพร้อมกับกลุ่มคนเหล่านี้ 


ด้านหนึ่งผู้เขียนอยากจะฝากผู้อ่านทิ้งท้ายว่า สัตว์ที่ปรากฎผ่านภูมิสัตว์ในกรุงเทพ อาจจะเป็นตัวอย่างหนึ่งของการศึกษาเมืองเพียงเบื้องต้นเท่านั้น แต่การศึกษาเมืองผ่านสัตว์จึงเป็นมิติหนึ่งที่อยากชี้ชวนให้ผู้อ่าน เห็นคุณค่า ความสำคัญมิติของสัตว์ ที่ดำรงอยู่กับวัฒนธรรมของมนุษย์ อย่างน้อยการมองเห็นถึงบริบทการเปลี่ยนแปลง ดำรงอยู่ และการสลายหายไปของสัตว์กับเมืองว่าครั้งหนึ่งสิ่งเหล่านี้สำคัญอย่างไร และทำไมถึงมีความสำคัญก่อนที่กระบวนการกลายเป็นเมืองทำให้สัตว์หลายชนิดต้องหายไป เหลือเพียงภูมินาม ตำนาน เรื่องเล่า และกลายมาเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ ที่ไม่อาจย้อนกลับไปเห็นสภาพดังอดีตได้อีกแล้ว

ตอนต่อไปจะเป็นเรื่องราวอะไรของเมือง ชวนทุกคนคอยติดตามในเร็ว ๆ นี้ ทางทีมงานจะนำสาระ ความรู้ดี ๆ มาฝาก เพื่อการศึกษาและทำความเข้าใจบริบทของสังคมเมืองกรุงเทพฯ ไปพร้อม ๆ กัน


ค้นคว้า และ เรียบเรียง : อิทธิกร ทองแกมแก้ว

ภาพออกแบบการสื่อสาร : ชยพล สิทธิกรวรกุล


อ้างอิง

หจช. น.18.1ค/6 โต๊ะสาดว่าที่บ้านตำบลสี่แยกคลองผดุงของโต๊ะสาดต้องพระราชประสงค์ฯ 28 มี.ค. 108 - มี.ค. 114.

หจช. ยธ 8.5/3 เรื่องทำเมรุวัดสระเกษ (2 มี.ค. 113 - 11 พ.ย. 119)

หจช. ร.5 น.18.1ค/63 เรื่องพระราชทานที่ตำบลบ้านหล่อ หลังวัดปรินายกให้แย้มพระยาศรีสุนทร 13 ม.ค. 123 - 22 เม.ย. 124.



หนังสือ

จดหมายเหตุเล่าเรื่องถนนเมืองบางกอก เล่ม 1 รัชกาลที่ 4 - 5. กรุงเทพฯ : สำนักการโยธา. 2557.

ณัฐวุฒิ ปรียวนิตย์. เศรษฐกิจการเมืองของการตัดถนนในพระนคร สมัยรัชกาลที่ 1 - 5. กรุงเทพฯ. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. 2560.

ธนโชติ เกียรติณภัทร. พระนั่งเกล้าฯไม่โปรดการละครแต่เป็นยุคทองของวรรณคดี. กรุงเทพฯ. มติชน . 2568.

นาค : จากตำนานความเชื่อสู่ศรัทธาร่วมสมัย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม. 2565.

พิชยะพัฒน์ นัยสุภาพ. สัตว์กับวิชาประวัติศาสตร์ : พรมแดนความรู้ว่าด้วยมนุษย์ สัตว์ และตัวกระทำทางประวัติศาสตร์ ใน ปรัชญาหมาและสัตว์ศึกษาที่(ห)ม(า)นุษย์เป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : อิลลูมิเนชันส์ เอดิชันส์. 2568.

ภัทรนิษฐ์ สุรรังสรรค์. รัฐสยดสยอง.กรุงเทพฯ. มติชน. 2565.

รายงานประจำปีของ คณะกรรมการอำนวยการราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2506 - 2507.

รุ่งนภา สงวนศักดิ์ศรี. วัวในวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ : กรมศิลปากร. 2567.

เรื่องของเจ้าคุณประพิพัทธฯ. โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. 2508.

ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. ชื่อบ้านนามเมืองในกรุงเทพฯ. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ. มติชน. 2551.

สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน?. กรุงเทพฯ : มติชน. 2548.

สุดแดน วิสุทธิลักษณ์(บรรณาธิการ). สิงสาราสัตว์ : มานุษยวิทยาว่าด้วยสัตว์และสัตว์ศึกษา. กรุงเทพฯ : มูลนิธิเพื่อการศึกษาประชาธิปไตยและการพัฒนา(โครงการจัดพิมพ์คบไฟ). 2560.

เสฐียร พันธรังษี. ท้องถิ่นสยามยุคพระพุทธเจ้าหลวง. พิมพ์ครั้งที่ 5. กรุงเทพฯ : มติชน. 2550.

อภิลักษณ์ เกษมผลกูล (บรรณาธิการ). คุณสุวรรณ(2352 - 2418) : จินตนาการ ความคิด และชีวิตที่ไม่รู้จบ ของกวีหญิงปริศนาแห่งกรุงสยาม. นครปฐม : ศูนย์สยามทรรศน์ศึกษา ม.มหิดล. 2556.


บทความ

จิตตวดี จิตรพงศ์. “ความสะอาดของพระนคร : การเมืองเรื่องพิธีปลงศพในสมัยรัชกาลที่ 5,” ใน วารสารหน้าจั่ว ฉ10 , 2556.

นิภาพร รัชตพัฒนากุล.“นาสิกประสาตภัย” : ประวัติศาสตร์ของกลิ่นเหม็นในเมืองกรุงเทพฯ (ศิลปวัฒนธรรม, มกราคม 2562).

สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. “พัฒนาการย่านนางเลิ้ง,” ใน วารสารมหาวิทยาลัยศิลปากร 30, 2 (2553), น. 106.


สัมภาษณ์

คุณสุวัน แววพลอยงาม. สัมภาษณ์. ชุมชนวัดสุนทรธรรมทาน.2568.


สื่อสิ่งพิมพ์

หนังสือพิมพ์เดลินิวส์. ย้อนอดีต “สนามม้านางเลิ้ง” กับตำนานกีฬาและการเมืองไทย. น.6 ฉบับที่ 26,998 วันพุธ ที่ 13 กันยายน 2566. 


แหล่งข้อมูลออนไลน์

หนุ่มลูกทุ่ง. ส่อง(ย่าน)สรรพสัตว์ สืบประวัติอดีต กทม. เข้าถึงเมื่อ 20 กันยายน 2568 เข้าถึงจาก https://mgronline.com/travel/detail/9520000044630

กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. ยักษ์วัดแจ้ง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ มีที่มาจากไหน? .เข้าถึงเมื่อ 20 กันยายน 2568.เข้าถึงจาก https://www.silpa-mag.com/culture/article_120821

ข้อมูลภาพวัดคอกหมู เข้าถึงจาก https://skd-online-collection.skd.museum.

ข้อมูลภาพประกอบสัตว์ เข้าถึงจาก Home - UWM Libraries Digital Collections



Comments


bottom of page