top of page

ค้นหา

217 results found with an empty search

  • จบลงไปแล้วกับงาน Urban learning day 📕📕นิทรรศการที่ขยายผล งานวิจัยโครงการการพัฒนารูปแบบและแนวทางการสร้างเมืองแห่งการเรียนรู้เพื่อฟื้นฟูเมืองเก่า พื้นที่ศึกษาเขตพระนคร หรือ Learning city

    เพื่อส่งเสริมให้เกิดนิเวศแห่งการเรียนรู้เพื่อฟื้นฟูเมืองเก่าพระนคร ผ่านเป้าหมายหลักของ เมืองแห่งการเรียนรู้ UNESCO ที่จัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 7-8 มิถุนายน 2568 ณ ลานสนามหญ้า มิวเซียมสยาม โดยทาง Urban studies lab ได้เชิญชวนทุกคนมาร่วม กิจกรรมผ่านคอนเซปต์ สนามเด็กเล่นแห่งการเรียนรู้ (Learning playground) ที่จะสร้างการเรียนรู้ให้สนุกผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย โดยแต่ละกิจกรรมจะมุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้ในทุกช่วงวัย (Life long Learning) . วันแห่งการเรียนรู้ หรือ Urban learning day ในคอนเซ็ปต์ “การเรียนรู้ยังไงให้สนุก (Learning Playground )” ไปสนุกกัน กับการเรียนรู้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ (Learning happens everywhere) โดยมีกิจกรรมทั้งหมด 5 กิจกรรมหลัก ได้แก่ 1. Biblio - dis - theque (บิบลิโอ - ดีส - ทีค) จากองค์กร Placemaking Thailand  คือ โครงการห้องสมุดชุมชนเคลื่อนที่ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้ที่สมวัยให้แก่เด็กและเยาวชนในชุมชน โดยที่รถเข็น ห้องสมุดคันนี้ จะเคลื่อนเวียนไปทั้ง 6 ชุมชนทั่วย่างนางเลิ้ง เพื่อนำสื่อการเรียนรู้ เข้าไปใกล้เด็ก ๆ ได้มากขึ้น 2. มาร่วมสนุกกับ กิจกรรม city cube ผ่านการแชร์ประสบการณ์ การเรียนรู้ และ การออกแบบ แสดงผลงาน ผ่าน 5 ฐานกิจกรรมย่อย จากองค์กร CU Social Design Lab  และ Aahhtech.Lab  ที่จะสร้างความแปลกใหม่กับแนวทางการเรียนเเบบดั่งเดิม 3. Paleography การเขียนอักษรไทยขอมโบราณ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมได้รู้จักและเรียนรู้อักษรไทยโบราณ ซึ่งสอดคล้องกับพื้นที่ที่เป็นโรงพิมพ์/ย่านหนังสือ / พิพิธภัณฑ์ในวัด และพิมพ์ข้อความผ่านตราปั๊ม 4. Urban talk : Youth in action แลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยว กับ เมืองแห่งการเรียนรู้ และการปรับตัวในยุคโลกาภิวัตน์ ที่จัดขึ้นเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ของเยาวชนรุ่นใหม่ สำหรับผู้ลงทะเบียนล่วงหน้า 10 ท่านแรกในกิจกรรม urban talk รับไปเลย special gifts 5. กิจกรรม “My 15-Minute City” จากองค์กร Urban Ally  เป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ออกแบบขึ้นเพื่อให้เยาวชนและผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้แนวคิด “เมือง 15 นาที” (15-Minute City) ผ่านรูปแบบเกมกระดานที่สนุก เข้าใจง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนเมืองและชีวิตประจำวันได้จริง . กิจกรรม และ งานวิจัยดังกล่าวจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการสนับสนุนจากทุกท่าน และ ขอขอบคุณ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (กองทุนส่งเสริม ววน.) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ หน่วยงานเครือข่ายทุกท่านที่เล็งเห็นถึงความสำคัญ การพัฒนาการเรียนรู้ในพื้นที่เมืองเขตพระนคร ซึ่งในปีถัดๆ ไปทาง Urban studies lab ก็หวังว่าเราจะได้มาร่วมกัน ขับเคลื่อนเมืองแห่งการเรียนรู้ในอนาคตไปด้วยกัน #USLbangkok #Urbanlearningday #urbanstudies #LifelongLearning #Workshop2025 #Urbanclassroom

  • เมื่อทุ่งสนามควายต้องกลายเป็นเมือง : ลองมองการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่และผู้คนก่อนการกำเนิดตลาดนางเลิ้งกัน

    หากนึกถึงตลาดนางเลิ้ง ส่วนใหญ่มักนึกถึงตลาดการค้าที่เต็มไปด้วยแหล่งบันเทิงเริงรมณ์ของผู้คนในอดีต ทั้งโรงบ่อน โรงหนัง ย่านโสเภณี ย่านละครชาตรี พื้นที่แห่งความเชื่อความศรัทธา เรื่องราวที่มีมิติของความสัมพันธ์ ที่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ย่านละครชาตรี แม้เเต่เรื่องราวในพื้นที่ที่ของมิตร ชัยบัญชาดาราภาพยนตร์ไทยในยุค 2500   ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเศษเสี้ยวการรับรู้จนกลายมาเป็น “ย่านนางเลิ้ง”  ในทุกวันนี้ แต่แท้จริงแล้วพื้นที่แห่งนี้ยังมีเรื่องราวมากมายให้ชวนค้นหา ทีมงานศูนย์วิจัยชุมชนเมือง (Urban Studies Lab) จะชวนย้อนรอยเพื่อมอง การเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่และผู้คนที่สัมพันธ์กับบริบททางเศรษฐกิจและสังคมก่อนกำเนิดตลาดนางเลิ้งอย่างเป็นทางการ เมื่อราว 120 ปีก่อน เพื่อมองว่าพื้นที่แห่งนี้มีกายภาพที่สัมพันธ์กับการตั้งถิ่นฐานและการทำกินของผู้คนอย่างไร คนกลุ่มใดคือผู้มีบทบาทสำคัญในพื้นย่านแห่งนี้ และหากเทียบเคียงยุคสมัยในอดีตกับปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงพื้นที่และผู้คนไปหรือไม่อย่างไร โดยจะใช้แผนที่เป็นตัวเล่าเรื่องหลักผ่านสถานที่ต่าง ๆ ในอดีต ว่ายังคงอยู่ จางหายหรือเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยอย่างไรในปัจจุบัน ย้อนกลับไปในช่วงต้นรัตนโกสินทร์เดิมย่านนางเลิ้งเป็นพื้นที่ชานพระนคร มีลักษณะเป็นท้องทุ่ง สลับกับพื้นที่สวน ทำนาและทุ่งเลี้ยงช้างหลวง ต่อเนื่องไปยังทุ่งส้มป่อยและทุ่งบางกะปิมีหลักฐานที่กล่าวถึงชื่อภูมินามในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศมหาโกษาธิบดี(ขำ บุนนาค) เป็นอย่างน้อยกล่าวถึง บ้าน “สนามกระบือ”  หรือ “สนามควาย”  เชื่อว่าศูนย์กลางของสนามดังกล่าวน่าจะอยู่บริเวณแถบวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค) และวัดสิตาราม(วัดคอกหมู) ในปัจจุบัน  จากพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวน ประจวบกับผู้คนที่เริ่มทยอยเข้ามาอาศัยมากขึ้น ซึ่ง ผลพวงสำคัญมาจากการอพยพและกวาดต้อนของผู้คนในภาวะสงครามและข้าวยากหมากแพง ทำให้ผู้คนจึงย้ายเข้ามาสู่พระนคร และ ย่านนางเลิ้งเป็นจำนวนมาก ทั้งกลุ่มมอญ เขมร ลาว ทวาย มลายูปาตานี จีน ญวน กลุ่มปักษ์ใต้ ฯลฯ ผู้คนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนที่มีความชำนาญในงานช่างฝีมือ   อ้างอิงจากแผนที่ : แผนที่กรุงเทพฯ ปี 2439 ของหน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แผนที่กรุงเทพฯ 2439 ขณะเดียวเมื่อมีความหนาแน่นของการย้ายถิ่นฐานเข้ามา จึงเกิดการสร้างวัดประจำชุมชนอย่างวัดสุนทรธรรมทาน(วัดแค) วัดสิตาราม(วัดคอกหมู) วัดปรินายก(วัดบดีนายก, วัดพรหมสุรินทร์) และวัดโสมนัสวิหารขึ้นในพื้นที่ จากผลพวงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า เมื่อชุมชนเริ่มตั้งถิ่นฐานหนาแน่นเพิ่มขึ้น ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ความเป็นพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวนค่อย ๆ กลายมาเป็นพื้นที่ที่พัฒนาไปสู่เมืองที่เริ่มเด่นชัดมากขึ้นเมื่อมีการขุดคลองผดุงกรุงเกษมล้อมพระนครขึ้นอีกชั้น ในปี 2394  ต่อมาราชสำนักกรุงเทพฯ เริ่มให้ความสนใจที่จะทำกรุงเทพฯ ให้กลายเป็นเมืองสมัยใหม่โดยรับรูปแบบการจัดการเมืองอย่างดินแดนอาณานิคมที่ปกครองโดยตะวันตกมาใช้ในพื้นที่สยาม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ต้องการพัฒนาพื้นที่ทางด้านเหนือของพระนครเพื่อสร้างพระราชวังสวนดุสิต จากการก่อสร้าง พระราชวังดุสิต ทำให้เกิดการสร้างสาธารณูปโภคเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่รอบด้าน ทั้งการพัฒนาที่ดิน การวางผังเมือง การตัดโครงข่ายถนนเพื่อเชื่อมกับพระราชวังสวนดุสิตสายต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือถนนราชดำเนินและถนนสาขาเชื่อมระหว่างพระบรมมหาราชวังต่อกับพระนครไปยังพื้นที่แห่งใหม่ทางตอนเหนือและตะวันออก ขณะเดียวกันทำให้มีการปรับเปลี่ยนพื้นที่ขนาดใหญ่ ทั้งการซื้อที่เพื่ออยู่อาศัย เวนคืนที่ดิน และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผ่านกรมพระคลังข้างที่   อ้างอิงจากแผนที่ : แผนที่บริเวณกรุงเทพฯ สยาม ร.ศ. 129 (2458)  และ แผนที่กรุงเทพฯ นายวอนนายสอน พ.ศ.2439 จากหน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่เพียงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพเท่านั้น เเต่ได้ส่งผลถึงวิถีชีวิตต่อกลุ่มคนที่เคยอาศัยมาเเต่เดิมที่ต้องปรับเปลี่ยนที่อยู่อาศัยไปตั้งหลักแหล่งที่อื่น เช่น กลุ่มแรงงานไพร่หลวงอย่างลาวตึกดิน มลายูปาตานี พนักงานกรมวัง ฯลฯ โดยเฉพาะการรองรับการพัฒนาที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยทั้งบ้าน วัง แหล่งการค้าและพัฒนาโครงข่ายถนนหนทาง เพื่อรองรับที่อยู่และแหล่งการค้าของรัฐโดยพระคลังข้างที่ กลุ่มเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และกลุ่มคนจีนเข้ามาใหม่ ความสำคัญของพื้นที่จึงเปลี่ยนจากพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวนและกลุ่มชุมชนเล็ก ๆ มาสู่พื้นที่ที่รองรับการการพัฒนาย่าน  เพื่อรองรับที่อยู่และแหล่งการค้าของรัฐโดยพระคลังข้างที่ กลุ่มเจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการ และกลุ่มคนจีนเข้ามาใหม่ ความสำคัญของพื้นที่จึงเปลี่ยนจากพื้นที่ทุ่ง นา ป่า สวนและกลุ่มชุมชนเล็ก ๆ มาสู่พื้นที่ที่รองรับการการพัฒนาย่าน คำนึงถึงการใช้ประโยชน์ที่ดินในเชิงเศรษฐกิจและสัมพันธ์ กับพื้นที่การเปลี่ยนแปลงของศูนย์กลางอำนาจรัฐอย่างพระราชวังสวนดุสิตที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ เป็นทั้งความสำคัญในเชิงเศรษฐกิจ สัญลักษณ์อำนาจการปกครอง และการแสดงออกถึงความศิวิไลซ์ที่ชนชั้นนำสยามในเวลานั้นให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้กลายมาเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสำคัญ รัฐจึงมุ่งหวังให้เกิดการพัฒนามาสู่ย่าน การค้าที่มีตลาด  โรงบ่อนเบี้ย ห้องแถวแห่งใหม่ทางตะวันออกของพระนคร   ภายใต้การกำกับควบคุมผ่านกฎหมายอย่างพระราชกำหนดสุขาภิบาล กรุงเทพฯ ร.ศ. 116 (พ.ศ. 2440) และกฎหมายที่ส่งผลต่อพื้นที่อย่างการออกประกาศรักษาที่ดินริมคลองผดุงกรุงเกษม ปี 2442 ส่งผลให้รัฐเข้ามาจัดระเบียบบ้านเรือน เส้นทางการคมนาคมทั้งถนนและทางน้ำ เพื่อไม่ให้เกิด “ เสียความสง่างามของพระนคร ” กล่าวได้ว่ารัฐต้องการปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและต้องการแสดงออกถึงการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับอำนาจรัฐที่สามารถกำกับ ควบคุมดูแลพื้นที่ที่กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางอำนาจการปกครองที่เติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัวมาสู่สังคมเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมากอาศัยหนาแน่นขึ้น กรณีของย่านนางเลิ้งและใกล้เคียงจึงอยู่ภายใต้พื้นที่การกำกับดูแลที่ประชิดติดกับศูนย์กลางอำนาจ จึงเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากเทียบเคียงกับปัจจุบัน พบว่า ในห้วงเวลา 120 ปี ที่ผ่านมาจากทุ่งสนามควายจนกลายมาเป็นเมืองในทุกวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเชิงพื้นที่และผู้คนไปมากพอสมควร เนื่องจากโครงสร้างการจัดการเมืองมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้พื้นที่หลายแห่งที่เคยมีอยู่ในอดีต กลายมาเป็นตึกรามบ้านช่อง สถานที่ราชการ รวมถึงถนนหนทางที่ทับซ้อนกับพื้นที่เดิมที่เป็น พื้นที่ประวัติศาสตร์ของเมืองอยู่ในหลายจุด  มีพื้นที่สำคัญอย่างศาสนสถานที่ยังคงเป็นพื้นที่หลักที่มีการเปลี่ยนแปลงน้อยกว่าพื้นที่อื่น ๆ ถึงแม้ว่าวัดบางแห่งเว้าแหว่งจนเหลือพื้นที่ใช้สอยอยู่น้อยนิด บางแห่งพื้นที่วัดทับซ้อนไปกับพื้นที่ของชุมชนในปัจจุบัน ตรอกซอกซอยและถนนต่าง ๆ รวมไปถึงคูคลองบางแห่งก็จางหายไป เหลือเพียงชื่อบ้านนามเมืองที่เป็นป้ายซอย ในขณะที่พื้นที่ที่เคยเป็นพื้นที่สวนที่แทรกอยู่ตามชุมชนต่าง ๆ ก็ กลายเป็นย่านตลาด อาคารตึกแถวพานิชย์ ร้านค้าต่าง ๆ สุดท้ายแล้ว ภายหลังพื้นที่ทุ่งสนามควายค่อย ๆ ลดบทบาทลง แต่ก็ยังมีการใช้ชื่อดังกล่าวสืบเนื่องเรื่อยมา จนกระทั่งการเปิดตลาดนางเลิ้ง ชื่อของ “นางเลิ้ง” จึง แทนที่ชื่อของสนามควาย  สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นพัฒนาการจากพื้นที่ทุ่งโล่งกว้าง สลับกับพื้นที่ป่า นา สวน มาสู่ย่านการค้าและพัฒนามาเป็นเมืองจากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน อ้างอิง: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หจช. น.18.1ง/14. เรื่องแบ่งที่เฉลี่ยนกัน ฯ หจช. น.18.1ง/16. เรื่องพระพิพิธษาลี หลวงอัตถสารศุรกิจ ฯ หจช. น.18.1ง/2. เรื่องโต๊ะสาดมหาดเล็กขอพระราชทานที่บ้านฯ หจช. น.18.1ง/26. หนังสือกราบบังคมทูลเรื่องราวและขออนุญาตให้หญิงช่างสดึงปลูกโรงเรือนฯ . แผนที่ หน่วยวิจัยแผนที่และเอกสารประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมฯ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. แผนที่กรุงเทพฯ 2439 . ร้อยโท เจมส์ โลว์ (James Low). แผนที่พระนคร พ.ศ.2378 . นนทบุรี : สำนักพิมพ์ต้นฉบับ, 2453. หนังสือ Edward Van Roy(เขียน); ยุกติ มุกดาวิจิตร(แปล). ก่อร่างเป็นบางกอก .  เปเลจจี, เมาริตซิโอ. เจ้าชีวิต เจ้าสรรพสิ่ง : การก่อร่างภาพลักษณ์สมัยใหม่ของสถาบันกษัตริย์ .  ชาตรี ประกิตนนทการ และ กรรณิการ์ สุธีรัตนาภิรมย์. ฟื้นชีวิตกรุงเทพฯ .  ทิพากรวงษ์มหาโกษาธิบดี (ขำ), เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 . ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์. เทศบาล : พื้นที่ เมือง และกาลเวลา .  สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงเทพฯ มาจากไหน? .  บทความ สุภาภรณ์ จินดามณีโรจน์. “พัฒนาการย่านนางเลิ้ง” ค้นคว้า และ เรียบเรียง : นายอิทธิกร ทองแกมแก้ว ภาพออกแบบการสื่อสาร : ชยพล สิทธิกรวรกุล

  • “ข้อมูลเคลื่อน เมืองเปลี่ยน”

    หากเปรียบเมืองเป็นชีวิตคน การพัฒนาตัวเองได้นั้น ก็จำเป็นต้องรู้ว่าจะพัฒนาไปในทิศทางไหน ตัวเองมีอะไร เก่งด้านไหนบ้าง ต้องใช้เงินมากน้อยเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้ต่างเป็นข้อมูลที่เราต้องมี และหากกลับมาดูบริบทเมืองที่มีความซับซ้อน แน่นอนว่าต้องใช้ข้อมูลในมิติที่หลากหลาย และข้อมูลเหล่านี้เองก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาเมือง Mobility Data คือเครื่องมือในการทำความเข้าใจการใช้ชีวิตของเมืองในยุคปัจจุบันผ่านการสะท้อนพฤติกรรมของผู้คนแบบเรียลไทม์ ให้เห็นถึงการใช้ชีวิตในแต่ละบริเวณและช่วงเวลา ได้อย่างแม่นยำและครอบคลุม โครงการ “Dynamic Cities via Mobility Data หลากชีวิตในเมืองที่โลดแล่น” จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่าง ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (UDDC) ที่จุดประกายความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการพัฒนาเมือง “เข้าใจเมือง เข้าใจผู้คน ผ่านข้อมูลดิจิทัล” เข้าใจจังหวะชีวิตผู้คนในเมือง สู่การตั้งคำถามใหม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างเมืองกับวิถีชีวิตของผู้คนด้วย Mobility Data จากการศึกษา ทำให้พบข้อมูลพฤติกรรมของผู้คนและเมืองที่น่าสนใจใน 3 มิติหลัก ดังนี้ 1. มิติพื้นที่เมือง 2. มิติเวลา 3. มิติพฤติกรรมคนเมือง นายอดิศักดิ์ กันทะเมืองลี้ รองผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมวิเคราะห์ข้อมูลโครงการนี้ได้ กล่าวว่า “Mobility Data ช่วยให้เข้าใจเมืองในแบบที่ข้อมูลดั้งเดิมไม่อาจระบุได้ โดยเฉพาะการสะท้อนพฤติกรรมของผู้คนแบบเรียลไทม์” พร้อมยกตัวอย่างข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดสู่การออกแบบเมืองที่เป็นมิตรสำหรับทุกคน และผลักดันให้เป็นนโยบายสาธารณะที่ตรงจุดมากขึ้น โดยเราได้ยก 5 ตัวอย่างข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์ด้วย Mobility Data เพื่อให้เราได้เข้าใจพฤติกรรมของคนเมืองได้มากขึ้น ยกตัวอย่าง 5 insight ที่น่าสนใจที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วย Mobility Data ทำให้เราได้เข้าใจพฤติกรรมของคนเมืองได้มากขึ้น ผ่าน 5 insight ดังนี้ 1. First jobber x Real-Estate ปัจจุบัน First Jobber มีบทบาทสำคัญอย่างมากในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากส่วนใหญ่มักมองหาที่อยู่อาศัยที่ราคาเข้าถึงได้และสะดวกในการเดินทางไปทำงาน เช่น คอนโดมิเนียมในทำเลที่มีระบบขนส่งสะดวก สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และ การลงทุนในพื้นที่ที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต ซึ่งจากข้อมูลความหนาแน่นของกลุ่มวัย และ พื้นที่ที่มีบ้านและงานสมดุล ทำให้เห็นว่ากลุ่ม First Jobber หลายคนเลือกอยู่ในพื้นที่ที่มีบ้านและงานสมดุล เช่น พื้นที่ พระราม 1- ปทุมวัน และพบว่ายังมีพื้นที่ที่มีการกระจุกตัวของ First Jobber แต่ยังไม่มีบ้านและงานที่เพียงพอ เช่น บางกะปิ รามคำแหง อ่อนนุช การเข้าใจพฤติกรรมของกลุ่มนี้ช่วยให้ผู้ประกอบสามารถพัฒนาโครงการได้ตรงกับความต้องการของกลุ่มประชากร First jobber มากยิ่งขึ้น และสามารถเป็นแนวทางในการเลือกพื้นที่ยุทธศาสตร์เพื่อพัฒนาพื้นที่ได้ต่อไป 2. ศุกร์ที่แสนสดใส จากแบบจำลองวันศุกร์ที่แสนสดใส คุณจะพบว่าคนมากมายเริ่มต้นวันตั้งแต่เช้าตรู่ ลาจากบ้านที่อยู่นอกเมืองเข้ามาทำงานภายในเมือง จนกระทั่ง 10.00 น. พื้นที่ทำงานหนาแน่น ทั้งอโศก สีลม สาทร รวมถึงศูนย์ราชการ และพื้นที่อื่น ๆ เที่ยงก็ออกไปทานข้าว บางคนทานใกล้ที่ทำงาน บางคนออกไปไกลหน่อย ถึงเวลากลับมาทำงาน ตกเย็น 18.00 น. เลิกงาน หลายคนเริ่มเดินทางกลับบ้าน แต่บางคนก็แวะพักหรือทำธุระระหว่างทาง หลังจาก 20.00-22.00 น. เมืองยังคงคึกคัก คนยังอยู่ในพื้นที่ทำงานและย่านต่าง ๆ เป็นวันธรรมดาวันหนึ่ง ที่ทำให้เราเห็นชีวิตของคนเมืองได้อย่างชัดเจน และสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ต่อไปได้ 3. ย่านนี้วัยไหน จากผลการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้คนในกรุงเทพฯ แบ่งออกเป็น 5 ช่วงวัยหลัก ๆ ได้แก่: วัยเรียน (ต่ำกว่า 18 ปี): กลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่โรงเรียนและการศึกษา เช่น จุฬาฯ, สวนกุหลาบ และบางกะปิ วัยมหาวิทยาลัย (18-22 ปี): มีการกระจุกตัวในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัยและศูนย์การศึกษาหลัก ๆ เช่น จุฬาฯ, มศว, เกษตร, ลาดกระบัง, บางมด และศรีปทุม กลุ่ม First Jobber (23-30 ปี): กลุ่มนี้มักจะเลือกอาศัยในพื้นที่ที่มีราคาที่อยู่อาศัยเข้าถึงได้ เช่น อ่อนนุช, บางกะปิ, รามคำแหง, ห้วยขวาง, พระราม 7, ประชาชื่น, และวงเวียนใหญ่ โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในใจกลางเมือง วัยเกษียณ (60 ปีขึ้นไป): วัยเกษียณจะกระจุกตัวในพื้นที่ย่านเมืองเก่า โดยเฉพาะในฝั่งธนบุรีและฝั่งพระนคร ซึ่งส่วนใหญ่มักจะไปอยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางเมืองและมีการกระจายไปยังชานเมือง และกลุ่มสุดท้าย กลุ่มวัยทำงาน (31-60 ปี): พบว่ามีการกระจายตัวอยู่รอบกรุงเทพฯ รวมถึงใจกลางเมือง ซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญ เช่น อโศก, สาทร และ สีลม การศึกษานี้ ทำให้เห็นถึงพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละช่วงวัย และเห็นถึงพื้นที่ที่มีการผสมผสานของช่วงอายุ ซึ่งสามารถนำไปเป็นข้อมูลในการพัฒนาพื้นที่ยุทธศาสตร์ได้ต่อไป 4. Retirement + career เมื่อวัยทำงานก้าวเข้าสู่วัยเกษียณ หลายคนยังคงเลือกที่จะทำงานต่อไป แม้ว่าจะมีอายุที่เพิ่มขึ้น และมองว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคในการทำงาน จากการวิเคราะห์ข้อมูลความหนาแน่นของแต่ละกลุ่มวัยและการกระจุกตัวของพื้นที่ในสามรูปแบบ (ที่อยู่อาศัย, การทำงาน, และการกิน/เที่ยว) เราพบว่า ผู้สูงอายุหรือวัยเกษียณมักจะกระจุกตัวอยู่นอกเมือง ซึ่งแตกต่างจากแหล่งงานที่มักกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง ทำให้เห็นได้ชัดว่าแหล่งงานและพื้นที่ที่ผู้สูงอายุอาศัยอยู่นั้นห่างกันมาก ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่า ประชากรวัยเกษียณอาจไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้แหล่งงานในใจกลางเมือง เนื่องจากประเภทของงาน แต่ยังสามารถทำงานในพื้นที่ที่ไม่ได้ไกลเมืองจนเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกได้ ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการวางยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองที่รองรับการเป็นเมืองสำหรับผู้สูงอายุได้ 5. บ้านและงานสมดุล จากข้อมูลของ Mobility Data เราสามารถระบุการเชื่อมโยงของพื้นที่เมืองได้ 3 มิติหลัก ได้แก่ พื้นที่ที่อยู่อาศัย (Live), พื้นที่ทำงาน (Work) และ พื้นที่กิน/เที่ยว (Visit) ซึ่งช่วยให้เห็นการกระจุกตัวของพื้นที่ในแต่ละประเภทได้อย่างชัดเจน จากการวิเคราะห์ยังพบว่า บริเวณที่มีทั้งพื้นที่ทำงานและพื้นที่กิน/เที่ยวใกล้กัน มักมีความสมดุลระหว่างที่อยู่อาศัยและงาน ซึ่งช่วยลดระยะเวลาในการเดินทางได้ นอกจากนี้ พื้นที่ที่น่าสนใจในการพัฒนา เช่น รามคำแหง, บางกะปิ, ลาดพร้าว, บางซื่อ, รัชดา, ห้วยขวาง, เตาปูน และประชาชื่น ที่มีศักยภาพในการเชื่อมโยงพื้นที่ทั้งสามมิติอย่างลงตัว “Mobility Data สร้างความแตกต่างในการมองเมือง” จากวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมสู่วิธีการใหม่ ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่แตกต่าง เมื่อการพัฒนาเมืองมาสู่ยุคที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การกระบวนการการขับเคลื่อนเมืองด้วยข้อมูลอย่างแท้จริง โดย Mobility Data ช่วยนำไปสู่การวิเคราะห์ 4 ด้าน ดังนี้ Big Data (ข้อมูลที่สำคัญ) สามารถนำไปสู่การ identify ปัญหาได้หลากหลายมิติ Collaboration (การสร้างความร่วมมือ) การสร้างความร่วมมือกับเครือข่าย หรือภาคส่วนที่มีความเกี่ยวข้อง Decision making (การตัดสินใจ) ที่มีข้อมูลที่แม่นยำเป็นข้อสนับสนุนประกอบการตัดสินใจ สามารถจัดลำดับความสำคัญ เพื่อให้เกิดการออกแบบการแก้ไขปัญหา Problem solving (การแก้ปัญหา) สร้าง solution ใหม่ในการพัฒนาเมือง และนำไปสู่ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อพัฒนาเมืองต่อไป สิ่งเหล่านี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการก้าวสู่เมืองที่น่าอยู่สำหรับทุกคน ส่งเสริมการพัฒนาเมืองที่ไม่เพียงแต่ตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนเท่านั้น แต่ยังสามารถเติบโตและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของโลกได้อย่างมั่นคงในอนาคต และจากการวิเคราะห์จากข้อมูลนิรนาม Anonymous Data ที่ได้จากข้อมูล Mobility Data มาวิเคราะห์ด้วยระบบตาราง Grid System ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ขนาด คือ 1x1 kilometers เพื่อศึกษาพฤติกรรมของคนเมืองในภาพกว้าง และ 250x250 meters เพื่อศึกษาพฤติกรรมเชิงลึกของคนเมือง ทำให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมของคนเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความแม่นยำมากขึ้น ซึ่งนำไปสู่ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์ต่อการวางแผนออกแบบนโยบายในการพัฒนาและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศต่อไป เชิญชวนทุกคนมาค้นหารหัสจังหวะชีวิตของคุณ และเมือง ได้ที่ เรียบเรียงโดย ณัฐนิชกุล วนิชพิสิฐพันธ์ . https://www.true.th/blog/data-playground/dynamic-cities/ . ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Data Playground for Human Impacts ได้ที่ https://true.th/blog/about-data-playground/ .   #Urbanstudieslab   #UslBangkok   #Mobilitydata   #DynamicCities    #SmartCity   #TRUE   #UDDC   #UDDC_CEUS   #PUNCHUP   #TrueDataPlayground

  • ค่ายที่ชวนผู้สูงอายุในย่านนางเลิ้งมาเรียนรู้สุขภาวะผ่านอาหาร! 🥘🥬

    เรื่องกินเรื่องใหญ่! แล้วกินอย่างไรให้ทั้ง ‘อร่อย’ และมี ‘สุขภาพดี’ ? เป็นไปได้ไหมว่าทั้งสองอย่างนี้จะไปด้วยกันได้ Urban Studies Lab หรือศูนย์วิจัยชุมชนเมือง ตั้งอยู่ในย่านนางเลิ้ง ถิ่นที่เลื่องลือด้านของกินแสนอร่อย พวกเรามีกิจกรรมและความสัมพันธ์กับชาวชุมชนมาเนิ่นนาน จึงได้พูดคุยและสอบถามถึงวิถีชีวิต ชีวิตประจำวัน และความต้องการของผู้สูงอายุในชุมชน ทุกคนชอบอาหารและอยากทำอาหาร โครงการเพื่อผู้สูงอายุในชุมชนป้อมปราบศัตรูพ่าย ‘ค่ายกับวัยเก๋า’ จึงเกิดขึ้นจากพื้นฐานของความต้องการชุมชน “เข้าใจได้ทันที อิ่มท้อง เอากลับบ้านได้ด้วย”  ประโยคนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมที่ทำให้ชาวชุมชนย่านนางเลิ้งกว่า 30 คน จาก 9 ชุมชน ได้มาพบปะ เรียนรู้ ได้รับประสบการณ์ที่ทั้งมีประโยชน์และเอร็ดอร่อย! นอกจากอาหารจะต้องอร่อยแล้ว วัยเก๋าก็ต้องคู่กับสุขภาพที่ดีด้วย จะได้แข็งแรง มีกำลังม่วนจอยในชุมชนไปอีกนาน ๆ นะ ค่ายกับวัยเก๋า มุ่งส่งเสริมการเรียนรู้ สุขภาวะที่ดีด้านอาหารของผู้สูงอายุผ่านเมนูอาหารในแต่ละสัปดาห์ เพื่อให้พี่ ๆ วัยเก๋า ได้มีกิจกรรมทำในช่วงเวลาว่าง ช่วยคลายเหงา และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันและกัน อีกทั้งยังมีอาสาสมัครจากหน่วยงานภายใต้ FREC มาร่วมกิจกรรมกับพี่ ๆ ผู้เข้าร่วม เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้รู้จักและคุ้นหน้าคุ้นตากันมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังเปิดพื้นที่ครัวกลางของศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม (FREC Bangkok) ให้เป็นห้องเรียนทำอาหารที่ครบครัน พร้อมสำหรับการรังสรรค์ทุกเมนู!  โดยกิจกรรมจะมีทั้งหมด 5 สัปดาห์ แบ่งออกเป็นสามส่วนหลัก คือ การเล่นการ์ดเกมวัตถุดิบ การทำอาหารประจำสัปดาห์ ซึ่งใน FREC นั้นเราให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการใช้ทรัพยากรให้เกิดจึงได้รับการสนับสนุนวัตถุดิบที่ได้รับการกอบกู้จากอาหารส่วนเกินในเมือง (Surplus Food) จาก Scholars of Sustenance Foundation (SOS) มารังสรรค์เป็นมื้ออาหารที่มีประโยชน์ในแต่ละสัปดาห์ นอกจากการเรียนรู้ผ่านการปฏิบัติจริงแล้ว เรายังพาผู้เข้าร่วมไปทัศนศึกษาถึงจังหวัดสมุทรปราการ ที่บางกะเจ้าฟาร์ม เพื่อสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ และสนุกสนานกับการท่องเที่ยวกับเพื่อน ๆ  🏡 กิจกรรมของเรามีอะไรบ้าง? + อุ่นเครื่องด้วยการ์ดเกมวัตถุดิบ 🥚🍋 เรารู้จักวัตถุดิบที่เรากินอยู่ทุกวันนี้ดีแค่ไหน? ก่อนเริ่มทำอาหารซึ่งเป็นกิจกรรมหลัก พวกเรามีกิจกรรมอุ่นเครื่องให้ทุกคน ได้ทำความรู้จักกับวัตถุดิบ ไม่ใช่แค่สรรพคุณ และได้เรียนรู้ถึงข้อควรระวังในการรับประทานด้วย โดยใช้เครื่องมือ ‘การ์ดเกมวัตถุดิบ’ ซึ่งออกแบบโดย Urban Studies Lab สำหรับค่ายนี้โดยเฉพาะ + ได้เวลาทำอาหารแล้วครับเชฟ! 🥣🍚 สิ่งที่สำคัญสำหรับการทำอาหารก็คือ ‘วัตถุดิบ’ และ ‘สูตรทำอาหาร’ ซึ่งค่ายเราได้เตรียมพร้อมให้หมดแล้ว! แต่ละสัปดาห์จะมีวัตถุดิบชูโรงที่แตกต่างกัน โดยมี เชฟซี – อัคตัรมีซี อาหามะ  เซฟมากประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านโภชนาการชุมชน เป็นวิทยากรหลักที่คอยแนะนำการทำอาหารและแบ่งปันความรู้ต่าง ๆ ให้ทุกคน กิมมิคเล็ก ๆ คือเราเรียกคำนำหน้าทุกคนว่า ‘เชฟ’ พอเรียกแบบนี้แล้ว เหมือนกันว่ามีเวทมนตร์บางอย่างทำให้บรรยากาศในห้องครัวเปี่ยมไปด้วยพลัง พี่ ๆ วัยเก๋าในชุมชนตอบรับอย่างแข็งขัน ราวกับในห้วงเวลาหนึ่ง พวกเขากำลังสมบทบาทเป็นเชฟ ปรุงอาหารด้วยความตั้งใจ อีกสิ่งสำคัญคือ ในแต่ละสัปดาห์พวกเราจะแจก ‘ใบเมนูอาหาร’ ที่เรียบเรียงด้วยภาพประกอบสวยงามให้ทางผู้เข้าร่วมนำกลับบ้านด้วย ซึ่งทุกคนชอบมาก ๆ เพราะจะได้ทบทวนการทำอาหารของตัวเอง ใบเมนูอาหารนี้มีการออกแบบมาให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย สื่อสารชัด เหมาะกับผู้สูงอายุอีกด้วย ผู้เข้าร่วมกิจกรรมหลายคนนำเมนูไก่ย่างใบชะพลูหนึ่งในเมนูประจำค่ายไปทำให้หลานกิน จากเด็กที่ไม่กินผักเลย ก็กินเมนูบางอย่างที่มีผักเป็นส่วนผสมได้อย่างเอร็ดอร่อย ทำให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ในครอบครัว และยังเสริมอีกว่า จะทำให้หลานกินอีก! + ตะลุยเมืองสมุทรปราการ ตามหาวัตถุดิบท้องถิ่นถึงที่! 🦆🪿 กิจกรรมเด่นที่ทุกคนเฝ้ารอคือการได้ออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่! เราพาผู้เข้าร่วมโครงการมากันที่บางกะเจ้าฟาร์ม จังหวัดสมุทรปราการ แหล่งเรียนรู้ทางอาหารและการเกษตร ทุกคนได้ลองทำน้ำสมุนไพรจากพิลังกาสา ซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นประจำจังหวัด มีคุณประโยชน์มากมาย รสชาติดี และกากที่ลูกพิลังกาสาที่เหลือจากการทำน้ำสมุนไพรเราก็ไม่ได้ทิ้งนะ เราเอามาเป็นส่วนประกอบในการพอกไข่เค็มจากไข่เป็ดปากน้ำ ที่เป็นเป็ดพันธุ์ท้องถิ่นอีกด้วย ก่อนกลับกรุงเทพฯ พวกเราแวะเดินชมตลาดชุมชนที่ ตลาดบางน้ำผึ้ง เพื่อให้ทุกคนได้มาเยี่ยมเยียนตลาดนัดท้องถิ่น เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและได้ไอเดียใหม่ ๆ ในการไปปรับใช้กับกิจการร้านค้าของตัวเองได้  📈 Positive Impact จากกิจกรรมในครั้งนี้ เราได้ขยายเครือข่ายความร่วมมือกับชุมชนทั้ง 9 ชุมชนด้วยกัน (ชุมชนวัดโสมนัส ชุมชนวัดแค ชุมชนจักรพรรดิพงษ์ ชุมชนศุภมิตร 1 ชุมชนศุภมิตร 2 ชุมชนวุฒิชัย (โบ๊เบ๊) ชุมชนสิตาราม ชุมชนบ้านดอกไม้ และชุมชนสระเกศ) ซึ่งนำไปสู่การต่อยอดการทำกิจกรรมร่วมกับชุมชนและขยายผลกระทบไปในวงกว้างมากขึ้นในปีถัด ๆ ไป และถือเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการจัดทำกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เกิดการดูแลสุขภาวะของชุมชนในระดับครัวเรือน โดยเริ่มต้นจากเรื่องง่าย ๆ ที่ก้นครัวของทุกบ้านเพื่อส่งเสริมแนวคิดการดูแลสุขภาพด้านโภชนาการแก่ทุกคน  ซึ่งจากข้อมูลความต้องการและการประเมินผลการดำเนินกิจกรรมที่ได้จากผู้เข้าร่วมในครั้งนี้ ทำให้เราสามารถนำไปต่อยอดร่วมกับหน่วยงานที่ดูแลสุขภาวะของชุมชน อย่างศูนย์บริการสาธารณสุข เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย รวมถึงสำนักงานเขตต่อไปได้ ในการออกแบบกิจกรรมส่งเสริมสุขภาวะที่ดีร่วมกัน เพื่อให้เข้ากับวิถีชีวิต ความต้องการ และพฤติกรรมของผู้คนในชุมชนได้มากขึ้น  🌟 Key to success : ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จด้วยดีคือ กิจกรรมที่เกิดขึ้นจากความต้องการของชุมชน โดยชุมชนมีส่วนร่วมในการบอกเล่าความต้องการของตัวเอง นำไปสู่การออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์ชุมชนอย่างแท้จริง และหนึ่งในคนสำคัญที่สุดของโครงการจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ‘คนในชุมชน’ นี่แหละ ที่ให้ความร่วมมือและตอบรับกิจกรรมเป็นอย่างดี หลังจากจบกิจกรรมก็ยังให้ข้อเสนอแนะถึงการต่อยอดในครั้งต่อไปด้วย 🪑 ทำแล้วได้อะไร? : ชุมชนกลับบ้านด้วยรอยยิ้มและอิ่มท้องทุกครั้ง เป็นสิ่งที่ทำให้พวกเรา Urban Studies Lab ภาคภูมิใจว่าโครงการของเราเป็นประโยชน์กับผู้เข้าร่วมโครงการอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่การมาทำอาหารร่วมกันเฉย ๆ แต่ผู้สูงอายุจะได้องค์ความรู้เรื่องเมนูอาหารเพื่อสุขภาพ ที่สามารถนำกลับไปทำได้เองด้วย เพราะวัตถุดิบที่เราเลือกสรรมานั้นหาง่าย ราคาประหยัด สามารถต่อยอดในการปรับเมนูอาหารที่ทำกินประจำในแต่ละวัน เพื่อให้ดีต่อสุขภาพมากขึ้น จากองค์ความรู้ที่วิทยากรได้แบ่งปันให้ในแต่ละสัปดาห์  อีกทั้งสถานที่ทำกิจกรรมหลักอย่างครัวกลางของ FREC Bangkok ก็ถูกใช้งานให้เกิดสาธารณประโยชน์มากยิ่งขึ้น เป็นพื้นที่ส่วนกลางที่เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างชุมชน มีการขยายเครือข่ายชุมชนที่เพิ่มขึ้น และนำไปสู่การทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ร่วมกันต่อไปในอนาคต นอกจากความอร่อยใน “ค่ายกับวัยเก๋า” ในครั้งนี้แล้ว พี่ ๆ ในชุมชนยังได้รอยยิ้ม ความสัมพันธ์อันดี และความรู้เกี่ยวกับวัตถุดิบติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วย ประสบการณ์ครั้งนี้ทั้งมีสาระทั้งอร่อย! ครั้งหน้าพวกเราจะชวน พี่ ๆ ในชุมชนมาทำอะไรอีก ต้องรอติดตามนะ : )

  • 3 แนวคิดการออกแบบเมือง สู่การมี ‘ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว’

    ชีวิตที่ดี หมายถึง ชีวิตที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่เราจะมีชีวิตที่ดีได้แค่ไหนกันในเมื่อสภาพแวดล้อมยังเต็มไปด้วยการจราจรที่ติดขัด ขนส่งมวลชนที่แสนจะไม่เอื้ออำนวย ทางเดินเท้าที่บางทีก็เจอกับน้ำขัง ชำรุด หรือพลิกไปมาได้ มิหนำซ้ำยังเจอกับสารพัดสิ่งขวางทางเต็มไปหมด จะไปทำงานก็ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถ้าต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมเมืองแบบนี้ ชีวิตดี ๆ คงเป็นเรื่องยาก จากดัชนีชี้วัดคุณภาพชีวิต (Quality of live index) ซึ่งคำนึงถึงปัจจัยของการเข้าถึงสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำ ทั้ง 5 ด้าน เมื่อเทียบดูสถานการณ์ในปัจจุบัน คนเมืองต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานคร ที่ผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยมากกว่าเมืองอื่นๆ ถึง 50% หรือคิดเป็นจำนวนเงินมากกว่า 9,000 บาท/เดือน* ซึ่งสำหรับครัวเรือนที่มีรายได้น้อยและปานกลางในกรุงเทพฯ ภาระค่าใช้จ่ายที่จำเป็นเพียง 3 ประเภท คือ ค่าอาหาร ค่าเดินทางและสื่อสาร และค่าที่พักอาศัย ก็ตกประมาณ 50-70% ของรายได้ของครัวเรือนเข้าไปแล้ว ดังนั้น การออกแบบและวางผังเมืองที่ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะมีส่วนช่วยให้เกิดการพัฒนาสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นให้กับคนเมือง ซึ่งนำไปสู่การส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับคนที่อยู่ในเมืองได้  โดยไม่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายที่หนักไป มาดูแนวคิดการออกแบบเมืองที่น่าสนใจ 3 แบบ ที่จะช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในเมือง และจะทำให้การมีชีวิตดีๆ เป็นเรื่องง่าย เข้าใจ 3 แนวคิดการออกแบบเมืองที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต เมื่อนึกถึงคุณภาพชีวิตที่ดีในสภาพแวดล้อมที่ดี ง่ายที่สุดคงไม่พ้นการนึกถึงเรื่องที่ใกล้ตัว เช่น วันนี้เดินออกไปนอกบ้านเพื่อไปทำงาน ทางเท้าดี มีความร่มรื่น ร้านค้าครึกครื้น ไม่ต้องเสียค่าเดินทางจุกจิก รู้ตัวอีกทีก็ถึงที่ทำงานเสียแล้ว แค่นี้ก็เกิดเป็นความสุขเล็ก ๆ เป็นจุดเริ่มต้นของวัน สภาพแวดล้อมที่ดี มาจากการออกแบบเมืองที่ดีเช่นกัน โดย 3 แนวคิดการออกแบบเมือง ได้แก่ แนวคิดเมืองเดินได้ (Walkable city), แนวคิดเมือง 15 นาที (15-minute city) และแนวคิดเมืองกระชับ (Compact city) “แนวคิดเมืองเดินได้”  เป็นแนวคิดที่ต้องการส่งเสริมการเดินเท้า (Walk-ability) และการใช้จักรยาน (Ride-ability) ภายในเมือง โดยออกแบบให้เมืองมีองค์ประกอบทางกายภาพที่ส่งเสริมให้คนใช้การเดินเท้าและจักรยานในการสัญจรระยะสั้น หรือการวางแผนและกำหนดนโยบาย เช่น การส่งเสริมให้เมืองมีการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบผสมผสาน มีที่พักอาศัยอยู่ในระยะที่สามารถเดินเท้าไปยังที่ทำงาน และร้านค้าได้  “แนวคิดเมือง 15 นาที” เป็นแนวคิดที่มุ่งหวังให้ผู้อยู่อาศัยสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่จำเป็นภายในรัศมีการเดินหรือปั่นจักรยานภายใน 15 นาทีจากบ้าน ซึ่งเป็นแนวคิดที่ต้องการให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการเดินทางไกล หรือรถยนต์ และอีกหนึ่งแนวคิดการพัฒนาเมืองที่น่าสนใจ คือ “ แนวคิดเมืองกระชับ” เป็นรูปแบบการพัฒนาเมืองที่เน้นการพัฒนาในพื้นที่ที่มีความหนาแน่นสูง เพื่อให้มีการใช้ประโยชน์ที่ดินอย่างผสมผสาน และใช้พื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการขยายตัวของเมือง อีกทั้งยังส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ การเดิน และการปั่นจักรยานแทนการใช้รถยนต์ส่วนตัว จากแนวคิดทั้งสาม จะเห็นว่าแต่ละแนวคิดมีความคล้ายคลึงกันแต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ทั้งสามแนวคิดก็มีความแตกต่างกันบางจุด “เมืองเดินได้” ส่งเสริมการเดินด้วยการพัฒนาทั้งทางด้านกายภาพและนโยบาย ส่วน “เมือง 15 นาที” เน้นที่การสร้างการเข้าถึงบริการได้อย่างสะดวกสบายในระยะเวลาเดินทางอันสั้น ในขณะที่ “เมืองกระชับ” จะมุ่งเน้นที่การพัฒนาชุมชนเมืองให้มีความหนาแน่น เพิ่มรูปแบบการใช้ที่ดิน และโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบขนส่งของเมืองหรือเขตเมืองมากกว่า ปลายทางเดียวกัน สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับแนวคิดการพัฒนาเมืองคือ แนวคิดเหล่านี้ไม่ได้มีการกำหนดไว้เป็นสากลอย่างชัดเจน และการตีความและหลักการต่าง ๆ อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริบทในท้องถิ่น กลยุทธ์การวางผังเมือง และเป้าหมายของเมืองหรือชุมชนนั้น ๆ แต่แนวคิดการออกแบบเมืองทั้ง 3 รูปแบบ ก็มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนาเมืองเพื่อนำไปสู่การสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คนในเมือง ด้วยการเสริมสร้างการเข้าถึงปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิต เช่น การจราจรติดขัดน้อยลง เนื่องจากผู้คนสามารถเดินหรือขี่จักรยานไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ จึงไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ในการเดินทางมากนัก อีกทั้งช่วยเพิ่มการเข้าถึงสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน (essential needs) ให้มากขึ้น สร้างโอกาสให้เกิดการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม พร้อมกับการสร้างความรู้สึกปลอดภัยในการอยู่อาศัยด้วยการใช้สัมพันธภาพของผู้ที่อยู่อาศัยในละแวกเดียวกันที่สามารถมองเห็นและทักทายกันได้  หรือสิ่งที่ Jane Jacob** เรียกว่า ‘eyes on the street’ คุณภาพชีวิตดีขึ้น ทั้งจากการที่สามารถเดินหรือขี่จักรยานได้ ทำให้การเดินทางในเมืองไม่ใช่เรื่องยากและมีค่าใช้จ่ายสูงมากเกินไป ส่งผลให้ผู้คนในเมืองเข้าถึงสถานที่ต่าง ๆ กันได้มากขึ้น และนำไปสู่การกระจายรายได้ของเมืองสู่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก เกิดการแชร์ทรัพยากรกันเพื่อให้มีการใช้งานที่เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ทั้งด้านที่อยู่อาศัย การเดินทาง การทำงาน ทำให้คนเมืองไม่ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายที่หนักไป เช่น ขนส่งสาธารณะ, การอยู่อาศัยร่วมกัน (Co-Living) อย่างไรก็ตาม แนวคิดการออกแบบเมืองในปัจจุบันยังคงมีความท้าทายในด้านต่าง ๆ และยังคงคอยให้เราติดตาม ประยุกต์ใช้ และปรับตัวสู่สิ่งใหม่ ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นเพื่อการมี ‘ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว’ ในอนาคต *อ้างอิงจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2562 ** Jane Jacob คือ นักผังเมืองและนักเคลื่อนไหวซึ่งสนับสนุนแนวทางการสร้างเมืองที่เน้นชุมชนเป็นสำคัญ และเป็นไอคอนคนสำคัญของกระแสการพัฒนาเมืองที่ดี ให้เป็นเมืองของผู้คน https://theconversation.com/heart-health-design-cities-differently-and-it-can-help-us-live-longer-162038 https://phanita.medium.com/walkable-city-cd0ccd99bcbc https://www.gdrc.org/u-gov/15mts/15-06.html https://phanita.medium.com/compact-city-5d278dc1939 https://citycracker.co/city-crack/alternative-futures-2022/15-minute-city/ https://think.moveforwardparty.org/article/urban-development/2157/ https://citycracker.co/intangible-city/jane-jacobs/ เขียนโดย : ณัฐนิชกุล วนิชพิสิฐพันธ์

  • "Co-Living" ถ้าเรามาอยู่ด้วยกัน

    ท่ามกลางเมืองแสนวุ่นวายที่เต็มไปด้วยคนเหงาและการอยู่อย่างโดดเดี่ยว คุณอาศัยอยู่ภายในบ้านตามลำพัง และใช้ชีวิตด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ในขณะที่วิถีเมืองกำลังดำเนินต่อไป บางคนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ภายในเมือง บางคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน บางคนต้องการที่จะไขว่คว้าโอกาสบางอย่างให้กับชีวิต จะดีกว่าไหม? ถ้าเรามาอยู่ด้วยกัน ปัจจุบันคนเมืองจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ปัญหาหลักของสังคมเมือง ทั้งการเพิ่มขึ้นของประชากรที่ทำให้พื้นที่เมืองเริ่มมีความหนาแน่นสูงขึ้น ส่งผลให้ที่อยู่ที่มีอยู่อย่างจำกัดเริ่มมีราคาสูงจนไม่สามารถครอบครองหรือแม้กระทั่งเช่าและอยู่ตามลำพังได้ การอยู่อาศัยร่วมกัน หรือ Co-Living อาจเป็นทางออก Co-Living เป็นแนวคิดที่อยู่อาศัยที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้พักอาศัยได้ใช้ร่วมกัน เพื่อส่งเสริมการอยู่ร่วมกัน ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้อยู่อาศัย ทั้งนี้ Co-Living ยังเป็นที่อยู่อาศัยที่ราคาเป็นมิตรกับคนเมือง เนื่องจากพื้นที่ส่วนตัวมีขนาดเล็กลง ทำให้ราคาในการปล่อยเช่าห้องถูกลงได้ อยู่ด้วยกันดีอย่างไร? แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่อยู่อาศัยมีราคาแพงและเข้าถึงได้ยากมากขึ้น โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่หรือนักศึกษาจบใหม่ (First Jobber) ที่ยังมีรายได้ไม่มากนัก จึงทำให้กลุ่มคนเหล่านี้เปลี่ยนมาเป็นผู้เช่าแทนที่จะเป็นเจ้าของบ้าน เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยที่สูงเกินเมื่อเทียบกับรายได้เริ่มต้น Co-Living จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ตอบโจทย์ปัญหาราคาที่อยู่อาศัย ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่ตามมาได้ เช่น ไม่ต้องซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าห้องด้วยตัวเอง ไม่ต้องทำความสะอาดห้องทุกวัน รวมถึงการซื้อของอื่น ๆ เข้าบ้านก็อาจจะแชร์กับผู้ที่อยู่อาศัยร่วมกันในบ้านได้ ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของชุมชน สำหรับคนเมือง การมองหาความหมายของคำว่าบ้านอาจไม่ได้สำคัญเท่ากับความหมายของการใช้ชีวิตและที่อยู่อาศัยที่มีความสะดวกสบาย ราคาไม่แพง และให้ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งชุมชน โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์ของคนเมืองในปัจจุบันที่การหาเพื่อนใหม่ หรือการพบปะและรวมตัวกันภายในชุมชน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย Co-Living จะมีส่วนช่วยในการทำให้ผู้อาศัยได้พบปะ มีกิจกรรม และมีพื้นที่ที่สามารถส่งเสริมให้เกิดการรวมตัวกัน และในขณะเดียวกัน ก็ยังคงมีพื้นที่ที่เป็นส่วนตัวของตนเอง   ไม่จำกัดขอบเขตของการใช้ชีวิต ด้วยการทำงานในปัจจุบันที่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเดินทางไปที่สำนักงานเท่านั้น ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของคนกลุ่ม digital nomad หรือ ผู้สามารถทำงานจากสถานที่ใดในโลกก็ได้ขอเพียงสามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้ และ remote working หรือ ผู้ที่สามารถทำงานระยะไกลผ่านอินเตอร์เน็ต จึงทำให้มีผู้อยู่อาศัยจำนวนมากที่เลือกเช่าที่อยู่อาศัยในระยะสั้น เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการจองโรงแรม และการเช่าอพาร์ทเมนต์หรือคอนโดในระยะสั้นก็มีค่าใช้จ่ายทั้งสัญญาเช่า และค่าประกันห้องเช่า ซึ่ง Co-Living เป็นการเช่าที่อยู่อาศัยที่ยืดหยุ่นทั้งในระยะสั้นและยาว จึงตอบโจทย์กับกลุ่มคนเหล่านี้ทั้งด้านระยะเวลาการอยู่อาศัยและค่าใช้จ่าย พบเจอสังคมใหม่ๆ Co-Living จะมีการสับเปลี่ยนของผู้อยู่อาศัยที่มากกว่าที่อยู่อาศัยแบบเช่าระยะยาว จึงช่วยเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายกับกลุ่มคนที่หลากหลาย ซึ่งเราจะเรียนรู้และพัฒนาซึ่งกันและกันผ่านวัฒนธรรมและอาชีพที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้อยู่อาศัยลดความเหงาและความรู้สึกโดดเดี่ยวลงได้ Co-Living ส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน การอยู่อาศัยร่วมกันสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างมาก โดยปกติแล้วอาคารที่อยู่อาศัยและพื้นที่ใช้งานร่วมกันนั้นจะใช้ทรัพยากรที่จำเป็นร่วมกัน เช่น น้ำและไฟฟ้าผ่านการใช้พื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งเป็นการใช้พลังงานอย่างยั่งยืน อีกทั้งช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ด้วย จากการศึกษาวิจัยของ Conscious Living  พบว่าการอยู่อาศัยร่วมกันก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียง 3 ใน 10 ของครัวเรือนทั่วไปในสหราชอาณาจักร ขณะที่ การศึกษาวิจัยอีกกรณีหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่าการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึงร้อยละ 23 อยู่ด้วยกันในเมืองใหญ่ จากปัญหาที่อยู่อาศัยมีอยู่อย่างจำกัดและราคาแพงเกินกว่าจะจ่ายไหว  อีกปัญหาหนึ่งที่สำคัญในเมืองใหญ่คือการกักตุนที่ดินและมีอาคารไม่ได้ใช้ประโยชน์จำนวนมากภายในเมือง ซึ่งมีมากกว่า 2,000 แห่งในกรุงเทพฯ ที่ปล่อยขายและให้เช่า ส่งผลให้เกิดอพาร์ทเม้นท์หรือคอนโดใหม่ๆ นอกเมืองมากขึ้น หลายคนจึงต้องเดินทางเพื่อเข้ามาทำงานภายในเมือง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก หรือหากอาศัยอยู่ในเมือง ขนาดของที่อยู่อาศัยก็มีขนาดเล็กลง จนเรียกได้ว่าจ่ายแพงขึ้นแต่คุณภาพชีวิตกลับถดถอย ขณะที่การอยู่ในเมืองเป็นเรื่องที่ยาก การนำอาคารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เหล่านี้มาพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัย Co-Living ก็อาจเป็นคำตอบของปัญหานี้ได้ และการอยู่ในเมืองก็จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป มากกว่าการอยู่ร่วมกัน Co-Living คือการนำแนวคิดเศรษฐกิจแบ่งปัน หรือ Sharing Economy มาประยุกต์ใช้กับที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นแนวทางที่นำทรัพยากรที่ยังไม่ถูกนำมาใช้หรือทรัพยากรส่วนเกิน (Excess Capacity) มาจัดสรรให้เกิดการใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ พื้นที่ทุกตารางเมตรจะถูกนำมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ในอาคาร เช่น ชั้นใต้ดิน ห้องที่ว่าง จะถูกนำมาแปลงเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่มีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน ห้องออกกำลังกาย แนวทางนี้จะช่วยทำให้สามารถใช้ประโยชน์ของอาคารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สร้างมูลค่า และลดต้นทุนได้ Co-Living ได้มอบคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่เป็นมิตร และได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยมีหลายแห่งที่ได้เข้าสู่ตลาดที่อยู่อาศัยนี้ เช่น  Zolo Stays, Stanza Living, FF21, Cozy Stay  เป็นต้น โครงการเหล่านี้ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัย แต่โครงการ Co-Living เหล่านี้จะส่งผลที่ใหญ่ต่อไปให้กับเมือง แหล่งอ้างอิง https://www.jll.co.th/th/views/co-living-a-residence-that-creates-a-new-definition-for-living-together . https://www.multihousingnews.com/how-co-living-is-reshaping-urban-housing/ https://www.theguardian.com/cities/2019/sep/03/co-living-the-end-of-urban-loneliness-or-cynical-corporate-dormitories . https://www.homa.co/post/benefits-of-co-livingห https://propholic.com/prop-talk/6-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A8/ . https://urbancampus.com/blog/why-is-coliving-useful-the-benefits-of-shared-living/ . https://medium.com/@cozystayindia/will-coliving-spaces-flourish-as-other-shared-economy-models-like-uber-and-airbnb-6177c4ef0758 . https://www.inc.com/ben-lee/millennials-are-changing-what-it-means-to-live-in-big-city-for-entrepreneurs-thats-a-big-opportunity.html . https://medium.com/@nuttakitruangsujitwat/sharing-economy-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-8479f9b23604 เขียนโดย : ณัฐนิชกุล วนิชพิสิฐพันธ์

  • เก็บข้อมูลเศรษฐกิจย่าน ไปกับ Placemaking Thailand ✨💬📊

    เก็บข้อมูลเศรษฐกิจย่าน วัดความรู้สึกต่อพื้นที่สาธารณะแบบจอยๆ #เก็บข้อมูลให้สนุก 🧩🎉 เคยมีคนถามคำถามเหล่านี้กับคุณไหม…. “รู้สึกอย่างไรกับสถานที่นี้?” “วันนี้ขายได้เยอะไหม?” “เดินมาจากทางไหน?” ในเทศกาล Placemaking Week Bangkok 2023 ที่ผ่านมา Urban Studies Lab หรือ ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง ได้ทำกิจกรรมหลากหลาย และหนึ่งในนั้นคือ “การเก็บข้อมูลย่าน” พวกเราขอนำเครื่องมือการเก็บข้อมูลเศรษฐกิจย่าน เส้นทางเดิน และความรู้สึกต่อพื้นที่สาธารณะ มาเล่าให้ทุกคนได้อ่านกัน : ) ✏️เครื่องมือแรก! ป้ายแสดงความรู้สึกต่อพื้นที่สาธารณะ พวกเรานำหลักการ 12 Criteria “What Makes A Great Place?” ของ Jan gehl มาใช้ในการวัดคุณภาพของพื้นที่สาธารณะ ได้แก่ 1. ปลอดภัยจากอุบัติเหตุจราจร (Protection against traffic & accident) : สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ผู้สัญจร ทั้งเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุจราจร ความกลัวเกี่ยวกับการจราจร และอุบัติเหตุอื่นๆ 2. ปลอดภัยจากอาชญกรรม (Protection against  crime & violence) : ความปลอดภัยของพื้นที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่ใช้งาน โดยอาจพิจารณาจากไฟถนน กล้องวงจรปิด โครงสร้างและอัตลักษณ์ของสังคม การใช้งานทับซ้อนกับในพื้นที่ แสงส่องสว่างในยามมืด  3. ปลอดภัยมลภาวะทางสิ่งแวดล้อม (Protection against unpleasant sense experienced) : มลภาวะทางสิ่งแวดล้อม เช่น เสียงดัง ฝุ่น ควัน กลิ่นเหม็น ความสกปรก การถูกบดบังสายตา ที่อาจส่งผลกับการใช้พื้นที่สาธารณะนั้นๆ 4. เดินดี (Possibilities for walking) : ควรมีพื้นที่สำหรับเดิน มีการออกแบบเส้นทางที่เหมาะกับการเดิน ทั้งรูปแบบทาง วัสดุพื้นที่ผิว การเปลี่ยนระดับ และระยะทางพอเหมาะ ที่สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งานได้ 5. ยืนดี (Possibilities for standing) : พื้นที่สาธารณะที่ดี ควรมีบริเวณและพื้นที่สำหรับยืนอย่างเหมาะสม 6. นั่งสบาย (Possibilities for sitting) : มีบริเวณสำหรับนั่งที่หลากหลาย ทั้งให้นั่งสบายๆ หรือนั่งพักผ่อน 7. มองเพลิน (Possibilities for seeing) : การมอง ถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญของการออกแบบพื้นที่สาธารณะ โดยควรมีระยะมองที่ไม่ถูกบังโดยสิ่งกีดขวาง และมีแสงสว่างเพียงพอ 8. คุยเพลิน (Possibilities for hearing and talking) : เสียงรบกวนไม่มากเกินไป และให้ระยะของกลุ่มพูดคุยที่เหมาะสม โดยพื้นที่นั้นๆ ควรจะมีองค์ประกอบที่เอื้อต่อการเปิดวงสนทนาด้วย เช่น มีม้านั่งในสวน 9. เล่นกันได้ (Possibilities for play / unwinding) : พื้นที่นั้นควรมีพื้นที่สามารถเล่น เต้นรำ เล่นดนตรี แสดงละคร การปราศรัย และกิจกรรมอื่นๆ โดยผู้คนที่แตกต่างกันทั้งอายุหรือกลุ่มคน 10. ขนาดพอดีตัว (Small scale services) : มีป้ายสัญลักษณ์ ตู้โทรศัพท์ กล่องไปรษณีย์ กระดานข่าว แผนที่ รถเข็นเด็ก หรือกระดาษชำระ/ผ้าเช็ด เพื่อรองรับกิจกรรมต่างๆ อย่างเป็นมิตร 11. สภาพแวดล้อมดี (Designing for Enjoying positive climate elements) : สภาพแวดล้อมที่ดีจะทำให้คนใช้งานพื้นที่สาธารณะมากขึ้น เช่น แสงแดด อากาศร้อน/เย็นพอเหมาะ และลมที่ถ่ายเทดี 12. เพลิดเพลิน (Designing for Positive sense exercises) : มีการออกแบบเพื่อความจรรโลงใจ ทัศนียภาพที่สวยงาม อาจประกอบด้วยความเป็นธรรมชาติ พืชพันธุ์ ต้นไม้ และสัตว์ต่างๆ โดยผู้คนที่เดินผ่านไปมาสามารถแปะสติ๊กเกอร์ตามช่องคำอธิบายความรู้สึกที่มีต่อพื้นที่ พวกเราวางไว้ 5 พื้นที่ด้วยกัน ในเทศกาล Placemaking Week Bangkok 2023 1. โรงเรียนสตรีจุลนาค : มีงาน City Pop-Up ที่ตั้งงานตลาดนัดสร้างสรรค์ กิจกรรมและนิทรรศกาลเกี่ยวกับงานศิลปะ 2. สวนจักรพรรดิพงษ์ : เปลี่ยนพื้นที่รกร้างในพื้นที่ชุมชนให้เป็นพื้นที่สวนชุมชน 3. ลานหน้าโรงเรียนวัดโสมนัส : จัดตลาดนัดผดุงชิม 4. บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงหน้าโรงเรียนวัดโสมนัส : ที่จัดแสดง Cerca pavilion 5. บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษม ช่วงหน้าโรงเรียนสายปัญญา-หัวลำโพง : ที่จัดแสดง Bamboosaurus pavilion 🪑 ทำแล้วได้อะไร? : เครื่องมือนี้ เป็นหนึ่งรูปแบบที่ช่วยให้พวกเราสามารถเก็บข้อมูลจากผู้ใช้งานจริงในพื้นที่ได้อย่างเปิดกว้าง ทำให้เราทราบถึงความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อพื้นที่สาธารณะนั้น เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการพัฒนาพื้นที่ได้ในอนาคต เช่น หากพื้นที่ไหนมีคนรู้สึก ‘ปลอดภัยน้อย’ ก็อาจจะพิจารณาการเพิ่มโครงสร้างที่ทำให้ปลอดภัยขึ้น หรือพื้นที่ ‘เพลิดเพลิน’ ก็เหมาะที่จะต่อยอดเป็นพื้นที่กิจกรรมสร้างสรรค์ต่อไป ✏️เครื่องมือที่สอง! กิจกรรมเลขท้ายเสี่ยงความรู้สึก กิจกรรมเสี่ยงทายร่วมกับร้านอาหารในย่านนางเลิ้งที่ร่วมรายการ เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน โดยนำเลขท้ายของยอดซื้อในใบเสร็จ มาแลกรับสติ๊กเกอร์ที่ออกแบบจาก “What Makes A Great Place?” ของ Jan gehl นั่นเอง ร้านที่เข้าร่วมจะมีใครบ้างน้า ไปดูกัน~ 1. นา คาเฟ่ (เครื่องดื่ม และขนม) 2. แป้งร่ำคาเฟ่ (กาแฟ ขนม และอาหารเช้า) 3. เอมบาสซี่ คอฟฟี่ (กาแฟ และขนม) 4. ไฮลี่ไดฟุกุ (ขนมไดฟุกุ) 5. ละเลียดนางเลิ้ง (อาหารคาว และเครื่องดื่ม) 🪑 ทำแล้วได้อะไร? : เป็นเครื่องมือนำร่องที่ใช้วัดเศรษฐกิจร้านค้าในท้องถิ่น ผ่านการเก็บมูลค่าจากใบเสร็จที่ผู้ซื้อนำมาแลก เพื่อการเก็บข้อมูลทางเศรษฐกิจระหว่างการจัดกิจกรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้เข้าร่วมเทศกาล Placemaking Week Bangkok 2023 กับร้านค้าท้องถิ่นอีกด้วย ✏️เครื่องมือสุดท้าย กิจกรรมลากบอกความรู้สึกต่อเส้นทางผ่านโปสการ์ด โปสการ์ดนี้ จะทำให้เราหันมาใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางมากขึ้น เพราะนี่เป็นโปสการ์ดที่ชวนผู้เข้าร่วมเทศกาล Placemaking Week Bangkok 2023 มาคิดว่า “คุณเดินมาจากไหน?” และ “เส้นทางที่เดินมาคุณรู้สึกอย่างไร?” 🪑 ทำแล้วได้อะไร? : ทำให้พวกเราได้ทราบถึงเส้นทางหลักที่ถูกใช้บ่อยๆ ในการเดินทาง เชื่อมโยงกับความหนาแน่นของการสัญจร และการรับรู้ของผู้คน หลังจากทำความรู้จักกับเครื่องมือเก็บข้อมูลในเทศกาล Placemaking Week Bangkok 2023 ครบแล้ว ทีนี้คำถามว่า “รู้สึกอย่างไรกับสถานที่นี้?” “วันนี้ขายได้เยอะไหม?” และ “เดินมาจากทางไหน?” จะได้คำตอบที่ไม่เหมือนเดิม แต่จะเป็นสิ่งที่สะท้อนองค์ประกอบของเมืองได้ด้วย

  • ใครอยากโตเป็นผู้ใหญ่ ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ!”🙋🏻‍♀️🙋🏽‍♂️

    เดินทางมาถึงปีที่ 3 แล้ว สำหรับค่ายเอาการเอางาน (Career Path) ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ชวนเด็กๆ ในชุมชนมาเรียนรู้ทักษะอาชีพที่หลากหลาย จัดโดยศูนย์การเรียนรู้ฟอร์ดเพื่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม (FREC Bangkok) ซึ่ง Urban Studie Lab หรือ ศูนย์วิจัยชุมชนเมือง ก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดกิจกรรมนี้ด้วยนะ! ปีนี้ ค่ายเอาการเอางานมาในธีม ‘โตเป็นผู้ใหญ่ ยังไงนะ?’  จัดให้กับน้อง ๆ ในชุมชนเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ในช่วงเดือนกรกฎาคม - สิงหาคมที่ผ่านมา มีเป้าหมายสำคัญในการพัฒนาทักษะและกระบวนการการคิดของเด็กๆ ให้รู้เท่าทันและมีทักษะเท่าเทียมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ผ่านการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กในช่วงกำลังก้าวไปสู่วัยรุ่น ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่เจ๋ง ๆ ในแบบของตัวเอง โห อ่านแค่นี้ก็ตื่นเต้นแล้วอะ! แล้วจากกิจกรรมที่ผ่านมา จะมีทักษะอะไรบ้างน้าที่เด็ก ๆ ได้เจอ….ไหน ๆ แล้วเราเอาเพลงประจำค่ายมาบอกใบ้ก่อนดีกว่า “ใครอยากรู้จักเพื่อนใหม่ ใครอยากไปโหนกระแส ใครอยากเป็นเศรษฐี ใครอยากมีฟาร์มร้ากกก ใครอยากโตไปได้ไกล….ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ!” กิจกรรมค่ายเอาการเอางานปี 3 ธีม ‘โตเป็นผู้ใหญ่ ยังไงนะ?’ แบบฉบับย่อ! ก่อนเริ่มค่าย พี่เลี้ยงชาว FREC Bangkok และอาสาสมัครทุกท่าน ได้เข้ากับการอบรมเกี่ยวกับ Child Protection จากองค์กร  Save The Children  เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับน้อง ๆ ในชุมชนที่จะเข้าร่วมกิจกรรมกับเรา 🌱สัปดาห์แรก  น้องๆ ได้พบกับเพื่อนต่างชุมชนครั้งแรก มาทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ พร้อมเรียนรู้ทักษะการสื่อสารและการตัดสินใจ (Communication and decision-making skill) กับกิจกรรมสนุก ๆ ที่พวกเราเตรียมไว้ให้ลองสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างตัวเองและเพื่อน ๆ ดู : ) 🌱สัปดาห์ที่สอง  พี่ ๆ จาก Mutual Ground : มิวทวล กราวน์   พาน้อง ๆ มาเรียนรู้การรู้จักตั้งคำถาม และมีวิจารณญาณอย่างรู้เท่าทันสื่อ (Media literacy skill) พร้อมรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ที่ตนพึงมี ซึ่งถือเป็นทักษะสำคัญในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  Fake News เต็มบ้านเมือง เด็ก ๆ อย่างเราต้องรู้เท่าทัน และเรียนรู้ที่จะคิด วิเคราะห์ แยกแยะ! 🌱สัปดาห์ที่สาม  พี่ ๆ จาก W Academy - โรงเรียนการเงินสำหรับเด็ก  ชวนน้อง ๆ  มาเรียนรู้ทักษะทางการเงินขั้นพื้นฐาน (Money management skill) ปลูกฝังพฤติกรรมการเงินที่ดีและฝึกวินัยทางการเงินให้กับน้อง ๆ เรียกได้ว่า รู้ก่อน มีเงินเก็บก่อน! ผ่านการเรียนรู้จากการเล่นบอร์ดเกมสุดเจ๋ง!!! 🌱สัปดาห์ที่สี่  ผ่านมาเกินครึ่งทางแล้ว! สัปดาห์นี้น้อง ๆ ได้ออกไปโลดแล่นข้างนอกผ่านการเดินทางไปเปิดโลกกว้างที่ เซฟติสท์ฟาร์ม - SAFETist Farm  คลองบางมด ฝึกทักษะการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง (Experimental active learning skill) ทั้งปลูกต้นไม้ ทำงานประดิษฐ์ สื่อสารธรรมชาติ บาริสต้า เพราะการใช้ชีวิตน่ะ มันต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ให้เสื้อเลอะดินบ้างก็ถือเป็นประสบการณ์เช่นกันนะ (ขอแค่อย่าเดินตกน้ำพอ ฮ่าๆ) และที่สำคัญน้อง ๆ ได้ร่วมกันออกแบบชุมชนในฝันด้วยกัน ได้ใช้ทั้งจินตนาการและการคิดวิเคราะห์สนุกจนไม่อยากกลับบ้านกันเลยทีเดียว 🌱สัปดาห์สุดท้าย  เอาล่ะ! สัปดาห์สุดท้ายแล้วจะอ่อมได้ไง พี่ ๆ จาก Mutual Ground : มิวทวล กราวน์ พาน้อง ๆ ตระหนักรู้ถึงคุณค่าของตัวเอง (Self-awareness skill) มองเห็นศักยภาพที่มีพร้อมมองหา Skill ที่ใฝ่ฝัน รวมไปถึงฝึกการตั้งเป้าหมายระยะสั้นผ่านการวางแผนการออมเงินเพื่อซื้อของขวัญให้กับคนสำคัญในวันปีใหม่ การได้ออกแบบชีวิตตัวเองตั้งแต่ยังเด็กเนี่ย ไม่ใช่ทุกคนจะเคยทำนะ กิจกรรมนี้ถือเป็นของขวัญส่งท้ายให้น้องๆ ใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุข จากพี่ๆ FREC Bangkok : ) และระหว่างการทำกิจกรรมในแต่ละสัปดาห์ เราได้นักจิตวิทยากรจาก SATI Foudation มาคอยสังเกตการณ์และคอยช่วยดูแลสุขภาวะทางใจของน้อง ๆ ด้วย รวมถึงมีพี่ ๆ พยาบาลจาก ศูนย์บริการสาธารณสุข 20 มาประจำอยู่ในพื้นที่จัดกิจกรรม เพื่อดูแลสุขภาพกายให้น้อง ๆ ตลอดการจัดกิจกรรม ผลกระทบเชิงบวกที่เกิดขึ้น 🌟 นโยบาย (Policy) “ทำให้เกิดรูปแบบการทำกิจกรรมร่วมกับเด็ก ๆ ในชุมชน” - ค่ายเอาการเอางานเดินทางมาถึงปีที่ 3 โดยได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครองและคนในชุมชน เด็ก ๆ ที่มาร่วมกิจกรรมก็มีทั้งมีความสุขและได้สาระความรู้ติดไม้ติดมือกลับบ้าน ถือเป็นกิจกรรมเล็ก ๆ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกใช้เกิดขึ้นในสังคม 🌟 กระบวนการ (Process) “เกิดการทำงานร่วมกันของหลายผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน” - กระบวนการทำงานมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลากหลาย ทั้งเด็ก ๆ ในชุมชน วิทยากร อาจารย์ คุณครู คนในชุมชน ผู้จัดโครงการ ร่วมกันสร้างกิจกรรมที่ตอบโจทย์ร่วมกัน - ในปีนี้มีความเข้มข้นขึ้น! จากการเริ่มทำแบบประเมินอย่างละเอียดเพื่อพัฒนาภาพรวมของกิจกรรม และพัฒนาการของเด็ก ๆ ให้มากที่สุด ซึ่งจะรวบรวมข้อมูลเพื่อวิเคราะห์และวางแผนสำหรับค่ายของพวกเราต่อ ๆ ไปด้วยนะ - นอกจากนั้น เรายังสนับสนุน ‘เศรษฐกิจชุมชน’ หรือ Community Economy ขนมและอาหารกลางวันระหว่างการจัดกิจรรม มาจากร้านค้าท้องถิ่นในชุมชนทั้งหมด 🌟 ผู้คน (People) “ผู้คนที่มีส่วนร่วมมีความหลากหลาย และเด็ก ๆ ในชุมชนเกิดการพัฒนาทักษะและความรู้จากการเข้าร่วม!” - ในปีนี้ มีเด็ก ๆ เข้าร่วมโครงการกว่า 40 คน! จาก 3 ชุมชน - เกิดกิจกรรมที่มีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องหลากหลายและแต่ละมิติ ทั้งหน่วยงานรัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม ที่มีส่วนผลักดันให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่น - ทักษะและความรู้ของเด็ก ๆ ในชุมชนเกิดการพัฒนาไปทางบวกมากขึ้น จากที่พวกเราเก็บข้อมูลและสำรวจจากการทำกิจกรรมจริง 🌟 สถานที่ (Place) “สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้กับเด็กๆ ในชุมชน และเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่าง FREC Bangkok และชุมชน” - นอกจากชาวชุมชนที่มา FREC Bangkok บ่อย ๆ จนคุ้นเคยแล้ว เรายังมีเด็ก ๆ ในชุมชนที่มาสร้างสีสันและทำกิจกรรมร่วมกันที่นี่ด้วย! บอกเลยว่าน้อง ๆ เห็นว่าที่ FREC Bangkok เป็นพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเขา พวกเราก็ถือว่าสำเร็จแล้ว ไหนใครอยากโตเป็นผู้ใหญ่….ฉันน่ะสิ ฉันน่ะสิ! เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดีกันนะเด็ก ๆ พี่ FREC Bangkok คอยเอาใจช่วยอยู่ตรงนี้ พวกเราเข้าใจว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะโตมาเป็นผู้ใหญ่แบบที่เราฝันไว้ แต่อย่างน้อยเราได้ทำความรู้จักกับตัวเองในขั้นหนึ่งแล้ว สุดท้าย ไม่ว่าจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร ขอให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่สุดเจ๋งในแบบของตัวเองก็พอเนอะ : ) #เอาการเอางาน

  • ปลูกผักทั้งที ต้องทำให้สนุก! 🌟🥬 #สวนผักบอร์ดเกม

    Urban Studies Lab หรือศูนย์วิจัยชุมชนเมือง ได้มีกิจกรรมเวิร์คชอป ‘สวนผักบอร์ดเกม’ ร่วมกับ รศ.ดร.พงศกร ศุภกิจไพศาล จากคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และคณะทำงาน กิจกรรมออกแบบสวนผักจำลองในลักษณะของบอร์ดเกม จัดขึ้นโดยมีกระบวนการมีส่วนร่วมจากพี่ๆ ในชุมชนในเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายที่ FREC Bangkok กว่า 30 คน จากชุมชนวัดโสมนัส ชุมชนวัดแค ชุมชนศุภมิตร 1 ชุมชนสิตาราม ชุมชนจักรพรรดิพงษ์ ชุมชนบ้านบาตร และชุมชนวัดสระเกศ พวกเราจำลองสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้จริง เมื่อมีการทำสวนผักในชุมชน เช่น องค์ประกอบของสวนและพื้นที่สาธารณะ หรือชนิดของพืชผักที่เหมาะสมในการปลูก การได้ลองวางแผนทำสวนกระดาษก่อน จะทำให้ผู้เข้าร่วมในชุมชนเห็นภาพมากขึ้นว่า หากลงมือปลูกจริง จะต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง และอาจจะพบเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคอะไร เรียกว่า รู้เขารู้เรา ถ้าได้ลงสนามจริงก็ติดอาวุธไว้ก่อนแล้ว พร้อมปลูก 🪴 เล่นอย่างไร? 🎮🪴 สวนผักบอร์ดเกม ให้ผู้เล่นทำงานเป็นทีม ทีมละ 5-6 คน โดยมีผู้คุมเกม 1 คน (Facilitator) ทำหน้าที่รวมคะแนนและดูแลการเล่น 🧩วิธีการเล่น 1. กระดานเกมจะเป็นตารางขนาด 10x10 ช่อง ซึ่งจำลองเป็นสวนผัก ผู้เล่นสามารถเลือกปลูกพืชผักสวนครัวต่างๆ เช่น โหระพา กะเพรา มะนาว ทานตะวันแคระ ฯลฯ 2. โดยผักแต่ละชนิดจะมีขนาดและใช้พื้นที่บนกระดานต่างกัน 3. ผู้เล่นจะได้เรียนรู้ว่าพืชแต่ละชนิดใช้พื้นที่เพาะปลูกไม่เท่ากัน ผักแต่ละชนิดมีคะแนนต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ - คะแนนในเรื่องของการกินดี - คะแนนในเรื่องของความดีต่อใจ ความสวยงามของรูปลักษณ์ของพรรณพืช - คะแนนในการดูแลพืชผัก - คะแนนยกนิ้ว 4. ในแต่ละรอบ ผู้เล่นจะทอยลูกเต๋าเพื่อกำหนดจำนวนการวางผักลงบนกระดาน เกมจะเล่นทั้งหมด 3 รอบ โดยในแต่ละรอบพืชผักจะเติบโตและสามารถแพร่ขยายไปยังช่องข้าง ๆ ได้ 🧩ความท้าทายในเกม :  ในแต่ละรอบจะมีเหตุการณ์สมมุติ เช่น แมวมาบุกสวนทำให้พืชเสียหาย เชื้อโรคระบาด หรืออากาศดีที่ช่วยให้พืชเจริญเติบโตเร็วขึ้น ซึ่งผู้เล่นจะต้องเรียนรู้และแก้ปัญหาเพื่อเอาชนะเกมให้ได้ 🧩การชนะเกม : ผู้คุมเกมจะรวมคะแนนในแต่ละรอบผ่าน Excel จาก 4 หัวข้อคะแนน เมื่อจบเกม ทีมที่มีคะแนนรวมสูงสุดจะเป็นผู้ชนะ! 🌟 Key to success : กระบวนการมีส่วนร่วมกับพี่ๆ ในชุมชน เพื่อสามารถใช้เครื่องมือที่มี ให้เกิดประโยชน์ และใช้งานได้จริง! และเครื่องมือนี้ยังเสริมสร้างปฏิสัมพันธ์ของพวกเรากับชุมชนด้วย 🪑 ชุมชนได้อะไร? : จากสวนกระดาษ สู่สวนที่ปลูกผักกินได้จริง! กิจกรรมนี้ พวกเราและพี่ๆ ชุมชนสามารถนำความรู้เบื้องต้นจากการเล่นบอร์ดเกม มาต่อยอดสู่การลงมือฏิบัติจริงได้ : )

  • Cities diary เสนอตอน "สวนผักชุมชน"

    “โครงการสวนผักชุมชน” 🧺🥬 เริ่มจากชุมชนจักรพรรดิพงษ์ในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และขยายผลไปสู่ชุมชนรอบข้างอย่างชุมชนบ้านบาตร และชุมชนวัดโสมนัส  นอกจากการสร้างแปลงปลูกผักชุมชนแล้ว ยังมีการอบรมทักษะความรู้สำหรับการปลูกผักอย่างครบวงจร เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกแก่ชุมชน อีกทั้งยังต่อยอดไปสู่การทำบอร์ดเกมสวนผักบอร์ดเกมอีกด้วย! แล้ว “ข้อมูล” มาเกี่ยวกับการทำสวนผักอย่างไร? Urban Studies Lab จะพาไปดูเอง : )   How to สร้างสวนผักชุมชน (ฉบับนักวิจัยตัวน้อย) 📑🥬 1. สอบถามความต้องการของชุมชน : เรารู้ได้อย่างไรว่า   “คนในชุมชนต้องการให้สวนผักของพวกเขาออกมาหน้าตาแบบไหน?” เริ่มจากการ สอบถามความต้องการ  ทั้ง ข้อมูลด้านความต้องการ และข้อจำกัด  เช่น ชนิดของผักที่อยากปลูก ประสบการณ์ปลูกผัก และ ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่  เช่น ลักษณะพื้นที่ ดิน แสงสว่าง สภาพอากาศ เป็นข้อมูลสำคัญในการประเมินศักยภาพการจัดทำสวนผัก อุปสรรคที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางจัดกิจกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตรงตามความต้องการของชุมชนมากที่สุด 2. ร่วมออกแบบและสร้างต้นแบบสวนผักร่วมกับชุมชน : ปลูกคนเดียวลำพัง คงสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนไม่ได้ การมีกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนผ่านการออกแบบสวนผัก ซึ่งจะช่วยให้สวนผักในภาพฝันร่วมกันของชุมชนเกิดขึ้นจริง กระบวนการข้างต้นได้เติมเต็มพื้นที่ว่างเปล่า ด้วยการนำมาออกแบบใหม่ เพื่อใช้สรรค์สร้างประโยชน์แก่ชุมชน โดยรอบตามหลัก Placemaking นั่นเอง 3. จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ และเตรียมพื้นที่ร่วมกับชุมชน : เตรียมของ และพื้นที่สำหรับการปลูกผักตามแบบที่ออกแบบไว้ โดยมีการทำธนาคารต้นกล้าที่ศูนย์ FREC ซึ่งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและสามารถดูแลต้นกล้าได้ดี 4. เพิ่มทักษะปลูกผักให้ชุมชนพร้อมลุย! แปลงปลูกพร้อม! คนพร้อมปลูกผักแล้วหรือยังนะ? มาเตรียมความพร้อมแก่สมาชิกชุมชนอีกสักนิดก่อนพาไปปฏิบัติจริง ด้วย “เวิร์กช็อปการปลูกผัก”  โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรมาถ่ายทอดความรู้ ทำให้สวนผักชุมชนบรรลุผลสำเร็จในการสร้างความเข้าใจเทคนิควิธีการปลูกผักอย่างครบวงจร และสัมพันธ์อันดีภายในเครือข่ายชุมชน เมื่อชุมชนมีความพร้อมแล้ว จึงได้เริ่มปลูกผักจริงในสวนผักชุมชน โดยมีทีมงานคอยเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด 🌟 Key to success : ความร่วมมือของชุมชน รวมถึงการสำรวจ วิเคราะห์ข้อมูลรอบด้านเพื่อให้แปลงผักประสบความสำเร็จและยั่งยืน 🎉 🪑 ชุมชนได้อะไร? : นอกจากจะได้สวนผักชุมชนแล้ว ความสำเร็จที่ไปได้ไกลกว่าผลผลิตที่งอกเงยและถูกนำไปประกอบอาหาร คือการที่สวนผักแห่งนี้ได้กลายมาเป็นแหล่งผลิตที่สร้างความมั่นคงทางอาหารให้ชุมชนต่อไป : ) ซึ่งเรานอกจากกิจกรรมอบรมและสร้างแปลงผักให้ “ชุมชนจักรพรรดิพงษ์” แล้ว เรากำลังขยายผลไปยังชุมชนข้างเคียง อย่าง “ชุมชนบ้านบาตร” และเพื่อนำไปสู่การสร้างรายได้แก่ชุมชนในอนาคต สามารถดาวน์โหลดคู่มือสวนผักชุมชน เรียบเรียงโดย Urban Studies Lab เนื้อหาโดย PLANT:D https://drive.google.com/file/d/1BjOjq0uqah93UkBsBJcDJwvHUGIcCdnG/view?usp=share_link

  • แบบอย่างความยั่งยืนที่เกิดขึ้น ณ ปารีส โอลิมปิก 2024

    การแข่งขันโอลิมปิก  ถูกจัดขึ้นครั้งแรกที่เมืองโอลิมเปียของกรีก บันทึกของการแข่งขันนี้สามารถย้อนกลับไปได้ถึง 776 ปีก่อนคริสตกาล( 776 BCE)  หลายคนถือว่า การแข่งขันท้องถิ่นนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของการแข่งขันโอลิมปิกทั้งหมดที่ตามมา   การแข่งขันโอลิมปิกในสมัย โบราณเกิดขึ้นในช่วงเวลาทุกๆๆสี่ปี ซึ่งประกอบด้วยเหตุการณ์กีฬาหลายประเภทที่เป็นที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคย ต่อผู้ชมสมัยใหม่ การแข่งขันโบราณเหล่านี้รวมถึงมวย การขว้างหอก รวมไปถึง “แพนเครชั่น (Pankration)”   และการแข่งรถม้า แต่หลังนั้น การแข่งขันนี้ก็ถูกหยุดชะงักไปนานถึง 1,503 ปี จนมาได้รับการฟื้นฟูในปีค.ศ 1896  การแข่งขันโอลิมปิก ก็ได้รับความนิยมในระดับนานาชาติเกินกว่าที่เคยเป็นในอดีต และทำให้ การแข่งขัน โอลิมปิกได้กลายเป็นเสาหลักในวงการบันเทิงระดับโลก ขอบคุณภาพจาก : www.nbc.com/nbc-insider/where-are-the-olympics-2024-paris-games-sites ในยุคปัจจุบัน การแข่งขันโอลิมปิกเป็นการแข่งระดับนานาชาติที่นักกีฬาจากทั่วโลกมารวมตัวกันเพื่อแข่งขันในกีฬาหลายประเภท ในช่วงเวลาสองสัปดาห์ของการแข่งขันโอลิมปิกที่ปารีสปี 2024 จะมีการจัดแข่งขันมากกว่า 300 รายการจาก 196 ประเทศเข้าร่วม ด้วยขนาดและความยิ่งใหญ่ของการแข่งขัน เมืองต่างๆ ต้องรับผิดชอบในการเตรียมความพร้อมทั้งสำหรับผู้เข้าร่วมแข่งขันและผู้ชม การได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เคยถูกมองว่าเป็นเกียรติสูงสุด หลายๆประเทศแข่งขันกันเสนอราคา ประมูล แผนการก่อสร้าง เพื่อได้เป็นประเทศเจ้าภาพในการจัดการแข่งขัน   แม้ว่าแผนการเหล่านี้จะมีค่าใช้จ่ายและการดำเนินการที่สูง แต่ในตอนแรกค่าใช้จ่ายเหล่านี้มักถูกชดเชยด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวและการรับชม โอลิมปิกถูกมองว่าเป็นสถานการณ์ที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ซึ่ง นักกีฬาโอลิมปิกก็จะได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกระดับโลก ขณะที่เมืองเจ้าภาพได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวหลายล้านคนและการถ่ายทอดสดสู่ผู้ชมทั่วโลก แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลายประเทศได้ประท้วงกับ “ สิทธิพิเศษ” ของการเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาแต่ละการแข่งขันโอลิมปิกมักมีค่าใช้จ่ายและการใช้จ่าย ที่มากกว่าเดิมทุกปี ในปี 2000 ซิดนีย์ใช้เงิน 5.2 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2008 ปักกิ่งใช้เงิน 8.3 พันล้านดอลลาร์ และในปี 2020 โตเกียวใช้เงินมากกว่า 13.7 พันล้านดอลลาร์ เมื่อการแข่งขันโอลิมปิกใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ความต้องการสนามกีฬา สระว่ายน้ำ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ กลายเป็นภาระหนักทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปี 2024 ปารีสจะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกที่อยู่ภายใต้การเฝ้าดูของโลกทั้งโลก ความกังวลเกี่ยวกับความยั่งยืนของการพัฒนาเมืองระยะสั้นที่มุ่งเน้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของการแข่งขัน รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการลงทุนในโครงการนี้ ก็ได้กลายเป็นหัวข้อข่าวทั่วโลก ปารีสจะจัดการกับความท้าทายเหล่านี้อย่างไร? พวกเขาประสบความสำเร็จหรือไม่? และปฏิกิริยาจากเวทีนานาชาติเป็นอย่างไร? ขอบคุณภาพจาก : www.olympics.com/en/paris-2024 ในขณะที่พิจารณาผลกระทบที่โอลิมปิกจะมีต่อปารีสในฤดูร้อนนี้ สิ่งสำคัญคือต้องย้อนกลับไปดูผล กระทบที่โอลิมปิกได้สร้าง ต่อเมืองเจ้าภาพในอดีต  ในปี 2012 ลอนดอนเป็นเมืองแรกที่เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกสมัยใหม่ถึง 3 ครั้ง ลอนดอนมีประสบการณ์และโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นในการรับรองความสำเร็จ ในช่วงการแข่งขัน ลอนดอนสามารถฟื้นฟูพื้นที่บางแห่งในเมืองขณะที่ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยที่พักที่เข้าถึงได้ง่าย  แต่ก็ยังมีกรณีที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เช่น ในปี 2004 เอเธนส์ ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกจากแผนการพัฒนามีความเป็นไปได้ ประเทศกรีซจึงตื่นเต้นกับโอกาสที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจผ่านการแข่งขันโอลิมปิก แต่หลังจากการแข่งขันจบลง โครงสร้างหลายแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการแข่งขันยังคงถูกทิ้งร้างอย่างไร้การใช้งาน นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการจัดการ ที่ผลักดันให้ประเทศกรีซเข้าสู่วิกฤตหนี้ที่ร้ายแรงในเวลาต่อมา ในความพยายามที่จะเปลี่ยนความคิดเห็นของสาธารณชนเกี่ยวกับการแข่งขันโอลิมปิก คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้ปรับปรุงแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนขึ้นใหม่ สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกปี 2024 ที่ปารีส คณะกรรมการได้กล่าวว่า "ความยั่งยืน(Sustainability goals) เป็นหนึ่งในสามเสาหลักของแผนงานโอลิมปิก" จึงทำให้ การแข่งขันโอลิมปิก ปารีส 2024 ปีนี้มุ่งเน้นไปที่การใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วและการก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ปารีสยังได้ให้คำมั่นที่จะทำความสะอาดแม่น้ำแซนและปลูกต้นไม้มากกว่า 200,000 ต้นทั่วเมืองเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมในระยะยาว ปี 2024 ปารีสโอลิมปิก ได้มีการออกแบบให้ หมู่บ้านนักกีฬาใช้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้าง สวนบนดาดฟ้า และ ระบบทำความเย็นแบบประหยัดพลังงาน เพื่อมุ่งสู่การลดการปล่อยคาร์บอนสู่โลก ภายในหมู่บ้านเองก็ยังคงใช้เฟอร์นิเจอร์และอุปกรณ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในพื้นที่ห้องนอนนักกีฬา เตียงนอนจะทำจากกล่องกระดาษแข็งรีไซเคิลที่แข็งแรง ส่วนเฟอร์นิเจอร์ในห้องนั่งเล่นจะทำจากพลาสติกรีไซเคิลที่มาจากอุปกรณ์กีฬาที่เลิกใช้แล้ว เช่น ลูกขนไก่และร่มชูชีพ ซึ่งทำให้นอกจากจะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว หมู่บ้านนี้ยังถูกออกแบบเพื่อรองรับการเปลี่ยนเป็นย่านที่พักอาศัยสำหรับชุมชนท้องถิ่นในอนาคตหลังจากการจบการแข่งขัน  ขอบคุณภาพจาก : Gallery of Dominique Perrault Designs Athletes' Village for Paris 2024 Olympics - 4 ( archdaily.com ) ขอบคุณภาพจาก : www.olympics.com/en/paris-2024 เพื่อหลีกเลี่ยงความล้มเหลวที่เคยเกิดขึ้นในการจัดโอลิมปิกในอดีต ปารีสได้ตัดสินใจที่จะยึดแนวทางที่ ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ โดยการนำโครงสร้าง สถาปัตยกรรมที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด เพื่อป้องกันการก่อสร้างที่ซ้ำซ้อน  จากสนามแข่งขันทั้งหมด 35 แห่งในโอลิมปิกปีนี้ มีเพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ โดยส่วนประกอบส่วนใหญ่ของสถานที่ใหม่เหล่านี้ได้มาจากแหล่งที่มีความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม โดยผู้จัดงานกล่าวว่า สถานที่เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นด้วย "วิธีการก่อสร้างแบบ Low carbon" จากใช้วัสดุ เช่น พลาสติกรีไซเคิลและไม้ สนามกีฬาในปารีสที่มีอยู่แล้วก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อรองรับความต้องการของโอลิมปิก และยังมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างอื่นๆ เช่น การปรับ พิพิธภัณฑ์ Grand Palais ให้สามารถรองรับกิจกรรมโอลิมปิกอย่าง การแข่งขันกีฬาฟันดาบ ความพยายามในการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก ของโอลิมปิกในครั้งนี้ช่วยลดต้นทุนในการจัดงานและ ยังช่วยให้ IOC หลีกเลี่ยงการลงทุนไปกับโการจัดงานที่ฟุ่มเฟือยและขาดความรอบคอบ ที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส และ IOC ยังได้พยายามทำความสะอาดพื้นที่ในและรอบๆ ปารีส โดยก่อนหน้านี้ นายกเทศมนตรีปารีส Anne Hidalgo ได้ให้คำมั่นที่จะทำความสะอาดแม่น้ำแซนและทำให้สามารถว่ายน้ำได้ภายในช่วงเวลาที่โอลิมปิกจะจัดขึ้น การติดตั้งระบบจัดการน้ำมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ก็แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเมืองและ IOC ต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนในระยะยาว  ขอบคุณภาพจาก : www.nbc.com/nbc-insider/where-are-the-olympics-2024-paris-games-sites ขอบคุณภาพจาก : www.nbc.com/nbc-insider/where-are-the-olympics-2024-paris-games-sites นอกจากนี้ ปารีสยังได้พิจารณาด้านความสวยงาม โดยการปลูกต้นไม้กว่า 200,000 ต้นทั่วเมือง ซึ่งไม่เพียงแต่จะเพิ่มความสวยงามให้กับถนนในปารีส แต่ยังสามารถดูดซับ CO2 มูลค่ากว่าล้านปอนด์ จากบรรยากาศท้องถิ่นในแต่ละปี นอกเหนือจากการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการทำความสะอาดเมือง ปารีสยังได้พยายามเพิ่มการเข้าถึงด้วยการประกาศให้มีบริการรถรับส่งฟรีและระบบขนส่งสาธารณะอื่นๆ สำหรับนักกีฬาและผู้ชม อีกทั้งยังได้สนับสนุนจาก  Toyota  จึงทำให้โอลิมปิกครั้งนี้ได้นำเสนอรถยนต์พลังงานไฮโดรเจนจำนวน 500 คัน เป็นพาหนะส่วนตัวอย่างเป็นทางการสำหรับการแข่งขัน ในขณะเดียวกัน เมืองนี้ยังได้จัดเตรียมเครือข่ายจักรยานยาว 60 กิโลเมตรสำหรับการใช้งานตลอดระยะเวลาของเกม ความพยายามของปารีสและ IOC ในการรองรับผู้คน ทำความสะอาดเมือง และเพิ่มความสะดวกในการเดินทาง ไม่เพียงแต่เป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันโอลิมปิก แต่ยังเป็นการสร้างแรงผลักดันในการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนในระยะยาวให้กับเมือง เมื่อพิจารณาจากเหตุการณ์การจัดงานในอดีต การใช้วิธีการที่ยั่งยืนแบบนี้ จะทำให้งานกีฬาโอลิมปิกสามารถสร้างคุณค่าอย่างแท้จริงหรือไม่? นักวิจัยอิสระคาดการณ์ว่าโอลิมปิกปี 2024 จะเป็นประโยชน์ทางเศรษฐกิจต่อเมืองเจ้าภาพปารีส จากเงินลงทุนเริ่มต้น 7 พันล้านยูโร ได้รับการคืนทุนแล้ว 4 พันล้านยูโรจากรายได้ที่ได้รับจากการสนับสนุนส่วนตัวและการขายตั๋ว สำหรับเงิน 3 พันล้านยูโรที่เหลือที่ได้จากการสนับสนุนสาธารณะ ส่วนใหญ่คาดว่าจะกลับมาสู่ชุมชนในรูปแบบของการท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าการท่องเที่ยวในพื้นที่จะพุ่งสูงขึ้น โดยจะมีผู้มาเยือนเพิ่มขึ้น 2.3-3.1 ล้านคน ในช่วงสองสัปดาห์ของการแข่งขัน นักวิจัยคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวจะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นอีก 2.6 พันล้านยูโรให้กับปารีส ซึ่งจะช่วยชดเชยต้นทุนเริ่มต้นที่เกิดขึ้นกับสาธารณะ นอกจากความเป็นผลดีทางการเงินแล้ว ในรายงานยังได้กล่าวถึงการพัฒนาในย่าน Saint Denis ที่เดิมเป็นย่านที่ยากจน โดยงานกีฬาโอลิมปิก จะมีการสร้างหน่วยที่พักอาศัย 2,800 หน่วย (บ้านที่ถูกปรับปรุงมาจากหมู่บ้านโอลิมปิก) และโรงเรียนใหม่ 2 แห่ง ควบคู่กับการฟื้นฟูที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากนักท่องเที่ยว ซึ่งจะอนาคตจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้านในระยะยาว แม้ว่ารายงานจะวาดภาพที่สดใสในขณะที่นักกีฬา เมือง และชาวบ้านทุกคนจะได้ประโยชน์ แต่เรื่องราวในอดีตของงานกีฬาโอลิมปิกก็ยังเป็นความล้มเหลวไม่ควรถูกลืม ขอบคุณภาพจาก : www.olympics.com/en/paris-2024 เมื่อมองถึงโอกาสในการจัดโอลิมปิกในกรุงเทพฯ จำเป็นต้องเผชิญกับความเป็นจริงที่ไม่สวยงาม ความนิยมของโอลิมปิกยังคงเติบโต และความเข้มข้นของผลกระทบที่เกิดขึ้นก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ด้วยขนาดที่ยิ่งใหญ่ของการแข่งขัน ทำให้หลายคนมองว่าโอลิมปิกเป็นภาระหนักที่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายมหาศาลแก่เมืองเจ้าภาพ ด้วยชื่อเสียงและความเป็นไปได้ในการจัดโอลิมปิกที่ลดลง  คำถามคือ เราจะทำอย่างไรเพื่อบริหารจัดการเมือง ที่สามารถควบคู่ไปกับความเพลิดเพลินในประเพณีโบราณนี้ได้ โดยไม่ต้องแบกรับภาระหนักที่มากเกินไป ซึ่งด้วยการลดการใช้จ่ายในปีนี้ IOC ได้เปิดโอกาสให้นักคิดที่มีความคิดสร้างสรรค์ ได้มาแสดงศักยภาพ แนวทางใหม่ จึงทำให้หลายคนชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จของปารีสโอลิมปิกในปีนี้ที่สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้  ซึ่ง ปารีส 2024 นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคใหม่ของโอลิมปิก ที่การจัดแข่งขันไม่ได้ถูกมองว่าเป็นภาระอีกต่อไป แต่เป็นการปลดล็อกศักยภาพที่แท้จริงของเมือง  การจัดโอลิมปิกควรได้รับแรงบันดาลใจจากสิ่งแวดล้อมในเมือง ที่มันเกิดขึ้นและพยายามปรับปรุงบริหารจัดการอยู่เสมอ ในการทำให้โอลิมปิกเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และคุ้มค่าในประเทศอื่นๆ เช่น ไทย IOC ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องทำ อย่างไรก็ตาม วิสัยทัศน์นี้อาจใกล้เคียงกว่าที่เราคิด ผู้เขียน : Devin O’Connor ผู้แปล : Chayapon Sitikornvorakul

  • แผนที่ชุมชน : เครื่องมือในการส่งเสริมให้คนเอาข้อมูลมาคุยกัน!

    จากการลงชุมชนของ Urban Studies Lab หรือศูนย์วิจัยชุมชนเมือง ค้นพบปัญหาว่า…. ▪️ ชุมชนไม่มี ‘แผนที่ชุมชน’ ของตัวเอง ▪️ ชุมชนมีแผนที่แต่ไม่ถูกนำมาใช้งาน ▪️ แผนที่ชุมชน ไม่ถูกอัพเดต ▪️ แผนที่ในระบบออนไลน์ เก็บพิกัดไม่ตรง นำมาสู่การทำ “แผนที่ชุมชน” หนึ่งในเครื่องมือเก็บข้อมูลชุมชนที่ต่อดยอดมาจากการสำรวจชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีฐานข้อมูลที่เข้าใจร่วมกัน : ) แผนที่ชุมชน เป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชุมชน เกิดการให้ข้อมูล บอกเล่าปัญหาให้เกิดการรับรู้ร่วมกัน นำไปสู่การเข้าถึงของโอกาสและความช่วยเหลือต่างๆ ได้ ด้วยลักษณะของเครื่องมือที่เป็นสาธารณะ ที่ผ่านมา Urban Studies Lab ได้ลงพื้นที่เก็บข้อมูลและร่วมจัดทำแผนที่ชุมชนมาแล้วในพื้นที่ 4 เขต ภายใต้โครงการการเก็บข้อมูลสุขภาวะของปั้นเมือง ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กลุ่มปั้นเมือง ได้แก่ พื้นที่เขตสายไหม : ชุมชนพูนทรัพย์ พื้นที่เขตทุ่งครุ : ชุมชนใต้สะพานโซน 1 พื้นที่เขตสัมพันธวงศ์ : แบ่งเป็นพื้นที่ 3 แขวงภายในเขต พื้นที่เขตคลองเตย : 3 ชุมชน ได้แก่ ชุมชนสวนอ้อย ชุมชนบ้านกล้วย พื้นที่ใต้ทางด่วนฉลองรัช และ Urban Studie Lab มีการขับเคลื่อนพื้นที่การทำงานในเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย 1 พื้นที่ ได้แก่ ชุมชนจักรพรรดิพงษ์ ชุมชนบ้านบาตร กระบวนการทำแผนที่ชุมชนของ Urban Studies Lab 🗺📝 สอบถามชุมชนก่อนว่า “ชุมชนมีแผนที่ดั้งเดิมไหม?” : การมีแผนที่ชุมชนเดิม เป็นต้นทุนที่สามารถต่อยอดให้การทำแผนที่ฉบับปรับปรุงมีความสะดวกมากขึ้น! เตรียม base map (แผนที่ฐาน) และทำกระบวนการ Workshop แผนที่เดินดินกับชุมชน : เตรียมทำ base map ของแผนที่ เพื่อให้ชุมชนมาร่วมกันเติมหรือแก้ไขข้อมูลร่วมกันได้ นอกจากแผนที่เปล่าแล้ว เราก็เตรียมสติ๊กเกอร์ ‘สัญลักษณ์’ ต่างๆ ให้ชุมชนได้บอกสถานที่สำคัญต่างๆ ในชุมชน เช่น ศูนย์ชุมชน ศูนย์เด็กฯ ร้านอาหาร ตำแหน่งถังดับเพลิง รวมถึงข้อมูลกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ (ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง ผู้พิการ) ผ่านการทำกระบวนการ Workshop ข้อมูลแผนที่ชุมชนโดยคนในชุมชนเป็นผู้ให้ข้อมูลในสำหรับการทำแผนที่เดินดินในขั้นต้น รวบรวมข้อมูลแผนที่ : หลังจากได้ข้อมูลมาแล้ว ไม่ว่าจะจากการบอกเล่าชี้แนะของชุมชน การเดินสำรวจ แผนที่ดั้งเดิมของชุมชน ฐานข้อมูล GIS และแผนที่ Google map ก็นำมารวบรวมและจัดทำเป็นแผนที่ชุมชนฉบับอัพเดต คืนข้อมูลให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ : ท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะได้ใช้ประโยชน์ข้อมูลแผนที่ชุมชนมากที่สุด จะเป็นใครไม่ได้นอกจากชุมชนเอง ผลิตผลสุดท้ายที่เราส่งมอบให้ชุมชน คือ “แผ่นไวนิลแผนที่ชุมชน” ที่ทนแดด ทนฝน สามารถตั้งในพื้นที่ส่วนกลางชุมชนได้ พร้อมกับเครื่องมืออย่างสติ๊กเกอร์ระบุจุดสำคัญในชุมชน เพื่อให้ชุมชนสามารถเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลได้ด้วยตัวเอง และหากในอนาคตชุมชนต้องการแผนที่ในรูปแบบ digital file พวกเราก็มีให้ด้วย นอกจากนี้ ยังมี “ปฎิทินชุมชน”  และ “สมุดพกชุมชน”  ที่เป็นเครื่องมือช่วยจัดระเบียบข้อมูลในชุมชน การทำปฏิทินในชุมชน  มักจะเกี่ยวข้องกับกิจกรรมตลอดทั้งปี ทั้งหัวข้อวัฒนธรรม สังคมและเศรษฐกิจ เช่น ช่วงเทศกาล งานบุญ งานอบรมต่างๆ ทำให้ทุกคนรับทราบกิจกรรมที่จะเกิดขึ้น รวมถึงระบุความช่วยเหลือที่ต้องการได้ สมุดพกชุมชน  เป็นการรวบรวมฐานข้อมูลทั้งหมดที่มีในชุมชน เช่น ข้อมูลที่อยู่อาศัย ข้อมูลผู้ป่วยติดเตียง แผนที่เดินดิน แต่ละชุมชนก็มีข้อมูลไม่เหมือนกัน แต่เมื่อได้มาจัดระเบียบข้อมูลที่มีในมือ ก็จะสามารถนำไปต่อยอดงานต่างๆ ที่ขับเคลื่อนเพื่อชุมชนได้ 🌟 Key to success : ปัจจัยสำคัญที่ทำให้งานสำเร็จได้ คือ “ความร่วมมือของชุมชน” ทำให้ได้ข้อมูลที่มีคุณภาพ ที่ส่งกลับคืนให้ชุมชนได้ใช้ประโยชน์ 🪑 ชุมชนได้อะไร? : ชุมชนได้เครื่องมือสำหรับเก็บข้อมูล และส่งเสริมให้เกิดการมีส่วนร่วมในชุมชน แผ่นไวนิลแผนที่ชุมชน ทนแดด ทนฝน สามารถตั้งในพื้นที่ส่วนกลางชุมชนได้ สติ๊กเกอร์ระบุจุดสำคัญ เพื่อให้ชุมชนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อมูลได้ ไฟล์แผนที่ Digital file เพื่อให้ชุมชนสามารถนำไปใช้ต่อได้ในอนาคต ไม่ใช่เพียงสิ่งที่เราเห็นด้วยตา แต่แผนที่ชุมชนนี้อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นต่อไป นั่นคือ ชุมชนมีความเข้มแข็ง สามารถจัดการตนเองได้ เริ่มจาก “ข้อมูลชุมชน” ที่จะเป็นรากฐานสำคัญในการรู้สถานการณ์ของตวเอง นำไปสู่การแก้ปัญหา การรับมือ และการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน

bottom of page